รีเซต

ผลการค้นหา “威斯康星大学马拉忪县分校Diploma in Finance<网址:zjw211.com>-哪里买威斯康星大学马拉忪县分校Diploma in Finance<网址:zjw211.com>-江阴威斯康星大学马拉忪县分校Diploma in Finance哪里做-哪里办威斯康星大学马拉忪县分校Diploma in FinanceHM” - ทรูไอดี

ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
BAY เดินหน้าสินเชื่อรถ พร้อมต่อยอด SB Finance ในฟิลิปปินส์
อ่าน

BAY เดินหน้าสินเชื่อรถ พร้อมต่อยอด SB Finance ในฟิลิปปินส์

#BAY #ทันหุ้น BAY (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ เดินหน้าต่อยอดการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อ SB Finance ในประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมส่งต่อความเชี่ยวชาญสินเชื่อรถ นายวันชัยระบิน จิตวัฒนาธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานธุรกิจระดับภูมิภาค ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของ SB Finance ในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเกือบ 10% ยอดสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหนึ่งในปัจจัยหลักมาจากความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อรถที่เติบโตขึ้นจากปีก่อนกว่า 3 เท่า ซึ่งสูงกว่าเป้าที่วางไว้ถึง 22% ทั้งนี้มาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเป็นอย่างดี และจากความต้องการสินเชื่อของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญที่กรุงศรีส่งต่อเพื่อช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้มากยิ่งขึ้น โดยเรายังคงเน้นคุณภาพการให้สินเชื่อเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป ด้วยความแข็งแกร่งในองค์ความรู้ และประสบการณ์ในการเป็นผู้นำด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค กรุงศรีได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของ SB Finance ผ่านการส่งทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเข้าไปให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดทั้งแบบ Remote และ On site พร้อมทั้งจัดกิจกรรมศึกษาดูงานเพื่อให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ การตลาดดิจิทัล การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมคุณภาพหนี้ โดยได้มอบหมายทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถเข้าไปประจำที่สำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และยังให้การสนับสนุนบุคลากรของกรุงศรีในสายงานไอทีและการเงินเพื่อรับการอบรมและฝึกปฏิบัติผ่านการทำงานจริง (OTJ) และประจำที่สำนักงานเพื่อที่จะช่วยผลักดันให้เกิดโซลูชันทางการเงินใหม่ๆ ในอนาคต นอกจากความสำเร็จในด้านผลการดำเนินงานแล้ว ในปีนี้ SB Finance ยังสามารถคว้า 2 รางวัลจากเวทีระดับสากล ประกอบไปด้วยรางวัล Best Digital Consumer Lender จาก The Asian Banker วารสารด้านการเงินชั้นนำ ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาบุคลากร ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจำหน่าย และการใช้เทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟ (Cloud Native) จนสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อที่หลากหลายและตรงความต้องการของลูกค้า รวมทั้งช่วยเพิ่มความสะดวกให้การทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล และรางวัล Silver Award for Excellence in Out of Home Advertising จากเวที Marketing Excellence Awards 2023 สำหรับความสำเร็จของแคมเปญสื่อสารการตลาดเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์โมบายแอปพลิเคชัน Zuki อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มยอดการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

“SGC ” ปล่อยสินเชื่อ SG Finance+ ส.ค.ทะลุเป้า หนุน Port สะสมทะลุพันล.
อ่าน

“SGC ” ปล่อยสินเชื่อ SG Finance+ ส.ค.ทะลุเป้า หนุน Port สะสมทะลุพันล.

#ทันหุ้น - SGC เผยยอดสินเชื่อ SG Finance+ ในโครงการ Locked Phone เดือนสิงหาคมผลงานแรงทะลุเป้า หนุน 8 เดือนแรกปีนี้ปล่อยไปแล้วกว่า 100,000 เครื่อง และมีพอร์ตสินเชื่อทะลุ 1 พันล้านบาท ด้วย NPL ในระดับต่ำมาก หนุนภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 โตรับเทรนด์มือถือฟีเวอร์นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยความสำเร็จสินเชื่อ SG Finance+ สินเชื่อโทรศัพท์มือถือภายใต้โครงการ Locked Phone มีการเติบโตก้าวกระโดด ในเดือนสิงหาคม 2567 ทำได้กว่า 41,000 สัญญา ทะลุเป้าที่วางไว้ 40,000 สัญญา สนับสนุนให้ 8 เดือนแรกปีนี้มีสินเชื่อรวมอยู่ที่กว่า 100,000 สัญญา และมียอดให้สินเชื่อสะสมของ SG Finance+ ทะลุ 1,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นการเติบโตในพอร์ตที่มีคุณภาพ และความเสี่ยงต่ำ อีกทั้ง ในเดือนกันยายน เพียง 5 วันแรกของเดือน มีลูกค้าให้การตอบรับหนุนยอดสัญญาใหม่ทำได้เกิน 10,000 สัญญาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังมองเห็นโอกาสในช่วงที่เหลือของปี โตรับเทรนด์ผู้บริโภคที่จะซื้อมือถือในช่วงปลายปีอย่างคึกคัก เนื่องจากเป็นไฮซีซั่นการออกสินค้ารุ่นใหม่ สินเชื่อ SG Finance+ จะเข้ามาสนับสนุนร้านค้าให้ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น และมั่นใจว่า จะมียอดปล่อยสินเชื่อ SG Finance+ ภายใต้สัญญาทั้งหมด 300,000 สัญญาตามเป้าหมายที่วางไว้ในสิ้นปี ผ่านร้านค้าพันธมิตรกว่า 5,000 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดในประเทศทั้งนี้ SGC อยู่ระหว่างการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering, RO) โดยผู้ถือหุ้นที่จองซื้อและได้รับการจัดสรร RO จะได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิ (SGC-W2) โดยไม่คิดมูลค่า กำหนดราคาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนหุ้นละ 1.30 บาท ระยะเวลาจองซื้อระหว่างวันที่ 3 - 9 กันยายน 2567 การเพิ่มทุนในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงขยายโอกาสทางธุรกิจสินเชื่อ SG Finance+

SGC สินเชื่อ SG Finance+ ก.ค.โตกระฉูด  แย้มคุยพันธมิตรมือถืออีก 1-2 ราย
อ่าน

SGC สินเชื่อ SG Finance+ ก.ค.โตกระฉูด แย้มคุยพันธมิตรมือถืออีก 1-2 ราย

#SGC #ทันหุ้น-SGC รุกตลาดสินเชื่อมือถือต่อเนื่อง เผยถึงโครงการสินเชื่อ SG Finance+ ในเดือน ก.ค. ยอดเติบโตก้าวกระโดด หนุน 7 เดือนแรก ยอดสินเชื่อสะสมเข้าเป้า 60,000 สัญญา ภายใต้ความร่วมมือกับ 4 พันธมิตรแบรนด์มือถือชั้นนำ Oppo, Vivo, Xiaomi และ Realme ร่วมแคมเปญ Locked Phone ด้านผู้บริหารเผยข่าวดี อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์แบรนด์มือถือสัญชาติจีนอีก 1-2 ราย เร่งเครื่องรับช่วงไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 3-4/2567 นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยว่า ตลาดสมาร์ทโฟนกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ส่งผลบวกต่อสินเชื่อ เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+) ภายใต้แคมเปญ Locked Phone ในช่วงไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 คาดยอดการปล่อยจะเติบโตก้าวกระโดดเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยในครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 67 มียอดปล่อยสินเชื่อใหม่กว่า 17,000 สัญญา คาดว่าทั้งเดือนจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 30,000 สัญญา/เดือนตามเป้า และใน 7 เดือนแรกปีนี้มีสินเชื่อสะสมรวมกว่า 60,000 สัญญา สำหรับแผนการขยายสาขาเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยในไตรมาส 3/2567 จะมีร้านค้าพันธมิตรที่เป็นเจ้าของแบรนด์มือถือ (Brand Shop) เพิ่มเติม คาดว่าจะมีร้านค้าจากพันธมิตรรวมกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2567 นอกจากนั้นบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือกับแบรนด์มือถือสัญชาติจีนอีก 1-2 ราย เพิ่มโอกาสการเติบโตรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมีดีมานด์จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI เข้ามากระตุ้นกำลังซื้อ โดยปัจจุบันสินเชื่อ SG Finance+ มีแบรนด์มือถือที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 4 แบรนด์ ได้แก่ Oppo, Vivo, Xiaomi และ Realme ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยรวมกันประมาณ 55% ทั้งนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม โดยพิจารณาความเสี่ยงทางด้านเครดิตของลูกค้า และวงเงินกู้ตามความสามารถในการผ่อนของลูกค้า เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของภาครัฐ (Responsible Lending) เพื่อควบคุมคุณภาพ NPL อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มเปิดให้บริการสินเชื่อ SG Finance+ อย่างเต็มรูปแบบผ่านร้านมือถือชั้นนำทั่วประเทศ (Nationwide) ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและปล่อยสินเชื่อในเดือนดังกล่าวกว่า 18,000 สัญญา ขณะที่ ในเดือนกรกฎาคมเราเห็นสัญญาณการเติบโตที่ก้าวกระโดด มั่นใจภายในสิ้นปีนี้จะมียอดปล่อยสินเชื่อเติบโตแตะ 100,000 สัญญา/เดือน ตามแผน และมี SG Finance+ ภายใต้สัญญาทั้งหมด 300,000 สัญญา และพาร์ทเนอร์ช่องทางการจำหน่ายเติบโตแตะ 5,000 แห่งภายในสิ้นปี 67 ตามแผน นายอโณทัย กล่าว

SGC เผยครึ่งปีแรก “SG Finance+” โตตามเป้า บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนพว่งวอร์แรนต์
อ่าน

SGC เผยครึ่งปีแรก “SG Finance+” โตตามเป้า บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนพว่งวอร์แรนต์

#SGC #ทันหุ้น-SGC เปิดแผนครึ่งปีแรก ชูสินเชื่อสมาร์ทโฟน SG Finance+ เป็นเรือธงสำคัญในการโต ล่าสุด ประกาศเปิดตัวพันธมิตรใหม่ จับมือแบรนด์ Realme เข้ามาร่วมบุกตลาดสินเชื่อสมาร์ทโฟนในไทย Kick off 1 ก.ค. เป็นต้นไป หลังผนึก Oppo - Vivo - Xiaomi ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วประเทศ หนุนสินเชื่อ SG Finance+ ในงวดครึ่งแรกปี 67 มียอดปล่อยแล้วกว่า 30,000 สัญญา ยอดสินเชื่อรวมกว่า 280 ล้านบาท พร้อมคุมเสี่ยง NPL อยู่ในระดับต่ำ ด้วยเทคโนโลยี Locked Phone มองครึ่งปีหลังไฮซีซั่นธุรกิจมือถือ พร้อมฟีเจอร์ AI หนุนความต้องการ SG Finance+ พุ่งต่อเนื่อง รวมทั้ง การขยายพาร์ทเนอร์ร้านค้าเพิ่มช่องทางการโต จึงมั่นใจ เดินหน้าเทิร์นอะราวด์ตามที่วางไว้ ด้านบอร์ด SGC ไฟเขียวแผนเพิ่มทุนขาย RO สัดส่วน 1:1 พ่วงแจกวอแรนต์เสริมแกร่งธุรกิจในอนาคต นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยว่า SGC เผยภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกเดินหน้าตามแผน SGC เข้าสู่ช่วงเทิร์นอะราวด์ และเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ จากการมุ่งเน้นธุรกิจที่ให้ดอกเบี้ยรับสูงขึ้น การควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ การเรียกเก็บเงิน การควบคุมต้นทุน สะท้อนมาที่พอร์ตสินเชื่อใหม่เติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยโฟกัสสินเชื่อ เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+) ภายใต้แคมเปญ Locked Phone มองว่าจะเป็น Turning Point ของ SGC เนื่องจากแผนการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบผ่านร้านมือถือชั้นนำทั่วประเทศ (Nationwide) ไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากพาร์ทเนอร์แบรนด์มือถือ และดีลเลอร์ร้านค้าชั้นนำจำนวนมาก โดยในเดือนมิถุนายน SG Finance+ ปล่อยสินเชื่อได้กว่า 18,000 สัญญา และมียอดสินเชื่อรวมกว่า 168 ล้านบาท สนับสนุนครึ่งปีแรกปล่อยสินเชื่อได้กว่า 30,000 สัญญา และมียอดสินเชื่อรวมกว่า 280 ล้านบาท ผ่านร้านค้าพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 2,900 แห่ง ซึ่งคาดการณ์จะเติบโตแตะ 5,000 แห่งภายในสิ้นปี 67 และไฮไลท์ในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ ได้จับมือพันธมิตรแบรนด์มือถือชั้นนำเพิ่มเติม ในแบรนด์ Realme สนับสนุนให้ในเดือนกรกฎาคม 67 จะมีแบรนด์มือถือที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 4 แบรนด์ ได้แก่ Oppo, Vivo, Xiaomi และ Realme ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยรวมกันประมาณ 55% เพิ่มโอกาสการเติบโตรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมีดีมานด์จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI เข้ามากระตุ้นกำลังซื้อ และความต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม สนับสนุนความต้องการสินเชื่อ SG Finance+ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี ประเมินยอดปล่อยสินเชื่อจาก SG Finance+ คาดว่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ภายใต้นโยบายการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุม โดยพิจารณาความเสี่ยงทางด้านเครดิตของลูกค้า และวงเงินกู้ตามความสามารถในการผ่อนของลูกค้า เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของภาครัฐ โดยบริษัทมีแผนลดการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย EIR ต่ำ และมีการแข่งขันสูงกว่า อีกทั้งมีระยะเวลาการปล่อยสินเชื่อประมาณ 4-5 ปี ส่วนสินเชื่อ SG Finance+ ที่นำเข้ามาบุกตลาดในปีนี้ มีอัตราดอกเบี้ย EIR สูงกว่า มีระยะเวลาการปล่อยสินเชื่อเพียง 1-2 ปี สะท้อนรายได้ดอกเบี้ยรับมากกว่าเท่าตัว และเงินสดกลับเข้ามาที่บริษัทฯ เร็วขึ้น พร้อมกับการพิจารณาอนุมัติเฉพาะลูกค้าที่มีประวัติดี จึงมองเป็นโอกาสในการเติบโต สนับสนุนเป้าหมายในปี 67 ผลงานจะพลิกกลับมาเป็นบวก ด้วยคุณภาพ NPL อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง **บอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุน ทั้งนี้ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 5,232 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 3,270 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 8,502 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5,232 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยจะเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวนหุ้นที่จัดสรร (หุ้น) 3,270 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยราคาเสนอขายจะเป็นราคาที่มีส่วนลดไม่เกิน 15% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาเสนอขาย รวมทั้ง จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 654 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 1 (SGC-W1) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้) และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,308 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (SGC-W2) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน ทั้งนี้ การออกและเสนอขาย SGC-W1 จำนวนไม่เกิน 654 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 5 หุ้นสามัญเดิม (ไม่รวมหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่) ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ SGC-W1 กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W1 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 1 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนลด 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ อีกทั้ง การออกและเสนอขาย SGC-W2 จำนวนไม่เกิน 1,308 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 2.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อและได้รับการจัดสรร ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W2 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 3 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนเพิ่ม 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ สำหรับวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนครั้งนี้ SGC มีแผนจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการและขยายธุรกิจในอนาคต และใช้ชำระหนี้ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และรองรับโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี สิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/67 กำหนดจัดในวันที่ 7 สิงหาคม 67 นี้ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

Samsung Finance คืออะไร ผ่อนยังไง เช็กบูโรไหม เช็กที่นี่เลย
อ่าน

Samsung Finance คืออะไร ผ่อนยังไง เช็กบูโรไหม เช็กที่นี่เลย

รู้จัก Samsung Finance บริการผ่อนสินค้าซัมซุงแบบไม่ใช้บัตร ผ่อนยังไง? ต้องเช็กบูโรไหม? สมัครง่ายไหม? เรารวมคำตอบไว้ที่นี่แล้วSamsung Finance คืออะไร? บริการผ่อนสินค้าแบบไม่ใช้บัตรที่คุณควรรู้Samsung Finance คือบริการสินเชื่อเพื่อผ่อนชำระสินค้าของแบรนด์ Samsung ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ทีวี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ผ่านการผ่อนชำระแบบรายเดือน โดยปัจจุบันมีพันธมิตรหลักคือบริษัท AEON Thana Sinsap (Thailand) Public Company Limited ซึ่งเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อและบริหารจัดการระบบการผ่อน ผ่อนกับ Samsung Finance ยังไง?การผ่อนชำระผ่าน Samsung Finance ทำได้ง่ายมาก โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:1. เลือกสินค้าที่ร่วมรายการ ณ Samsung Experience Store หรือช่องทางออนไลน์2. แจ้งความประสงค์ขอผ่อนผ่าน Samsung Finance กับพนักงาน หรือกรอกข้อมูลออนไลน์3. เตรียมเอกสารประกอบการสมัคร เช่น บัตรประชาชน สลิปเงินเดือน หรือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง4. รอผลอนุมัติ ภายใน 30 นาทีถึง 1 วันทำการ5. เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว สามารถรับสินค้ากลับบ้านได้เลย หรือรอจัดส่งหากซื้อออนไลน์ระยะเวลาผ่อนมีตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 36 เดือน ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและรุ่นของสินค้า โดยบางรายการอาจมีดอกเบี้ย 0% หรือมีดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษในช่วงแคมเปญ สมัคร Samsung Finance ต้องเช็กบูโรไหม?คำตอบคือ “เช็ก”การสมัครผ่อนกับ Samsung Finance จะมีการตรวจสอบเครดิตบูโรของผู้สมัคร เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นขั้นตอนมาตรฐานของการปล่อยสินเชื่อในระบบ โดยหากผู้สมัครมีประวัติการชำระดี หรือไม่ติดเครดิตบูโร ก็มีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงขึ้นในกรณีที่มีประวัติชำระล่าช้าหรือมีหนี้ค้างชำระ อาจทำให้ไม่ได้รับการอนุมัติ หรือได้รับวงเงินที่ต่ำลงข้อดีของ Samsung Finance• ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต• ผ่อนได้ยาวสูงสุด 36 เดือน• มีโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษ• สมัครง่าย อนุมัติไว• ซื้อได้หลายประเภทสินค้า ทั้งสมาร์ตโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า

"เมย์แบงก์" สแกน กลุ่ม Finance เปิดโผหุ้นเด่น-หุ้นดับ
อ่าน

"เมย์แบงก์" สแกน กลุ่ม Finance เปิดโผหุ้นเด่น-หุ้นดับ

#ทันหุ้น - บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ส่อง หุ้นกลุ่ม Finance คาดว่า NIM ของกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) จะลดลงเนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2566 ทั้งนี้ ผลประกอบการของทั้งกลุ่มน่าจะดีขึ้นหลังอัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะจุดสูงสุด ผนวกกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นใน 2H66 ประเมินกำไรของทั้งกลุ่มเติบโต 11% YoY ในปี 2565 และ 12% ในปี 2566-67 จากการเติบโตของสินเชื่อและ NII ที่แข็งแกร่ง หุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยยังคงเป็น ASK และ TIDLOR เนื่องจากมีแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่ 18-20% ในปี 2566 ความเสี่ยงที่สำคัญคือคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด คงคำแนะนำ ขาย SAWAD เนื่องจากงบดุลอ่อนแอ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์สูงขึ้น และ NPL Coverage ต่ำที่สุด สินเชื่อเติบโตดีแต่ NIM ลดลง ฝ่ายวิจัยคาดว่าความต้องการสินเชื่อจะดีขึ้นในไตรมาส 4/65 และปี 66 เนื่องจากเศรษฐกิจกลับมาและอัตราเงินเฟ้อสูง คาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 22% และ 14% ในปี 65-66 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้รายได้จากนายหน้าประกันภัยเติบโต โดยเฉพาะ TIDLOR และ ASK ที่เน้นปั้นรายได้จากทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย ประเมินรายได้ non-NII ของ TIDLOR และ ASK ที่ 15-16% เทียบกับค่าเฉลี่ยของภาคธุรกิจที่ 6% ในปี 66 ในแง่ลบ NIM ของภาคธุรกิจน่าจะลดลง 60 bps YoY เป็น 15.8% ในปี 66 เนื่องจากต้นทุนการจัดหาเงินทุนจะเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนใหญ่คงที่ คาดต้นทุนสินเชื่อทรงตัวจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอ จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้มีรายได้น้อย (ลูกค้าหลักของภาคธุรกิจ) คาดว่าอัตราส่วน NPL ของกลุ่มจะเพิ่มขึ้น 21 bps YoY เป็น 3.11% ในปี 66 ดังนั้น ต้นทุนสินเชื่อน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปี 66 เทียบกับ 3.6% ใน ปี 65 โดยต้นทุนสินเชื่ออาจพุ่งแตะจุดสูงสุดในไตรมาส 2/66 และลดลงใน 2 ครึ่งหลังของปี 66 โดยคุณภาพสินทรัพย์ของ KTC และ TIDLOR ยังคงดีกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (LLR) ต่อ NPL ที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ SAWAD เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นผนวกการกลับรายการตั้งสำรอง ขณะที่ NPL coverage และ LLR ต่อ NPL ต่ำที่สุดในกลุ่มที่ 51% และ 1.4% ในไตรมาส 3/65 คาดกำไรเติบโต 12% YoY ในปี 66 ทั้งนี้ คาดกำไรของทั้งกลุ่มเติบโต 12% YoY ในปี 66 จากสินเชื่อและ NII โตแกร่ง โดย ASK และ TIDLOR น่าจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตสูงสุดที่ 18-20% จากการเติบโตของ NII และ non-NII ที่แข็งแกร่ง ส่วนกำไรของ SAWAD คาดว่าจะเติบโตต่ำสุดที่ 7% เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ROE ของทั้งกลุ่มจะลดลงเหลือประมาณ 19% ในปี 65-66 จาก 20-27% ในปี 61- 64 เนื่องจาก NIM ที่ลดลงและคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง มองว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในภาคการเงินอยู่ในระดับต่ำหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดสำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคทุกประเภทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

เจาะหุ้น FINANCE เปิดข้อดี-เสีย ขยายผล “คุณสู้ เราช่วย”
อ่าน

เจาะหุ้น FINANCE เปิดข้อดี-เสีย ขยายผล “คุณสู้ เราช่วย”

#ทันหุ้น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้นกลุ่ม FINANCE ครม.อนุมัติขยายผลของโครงการ คุณสู้ เราช่วย ให้ครอบคลุมลูกหนี้ของกลุ่ม Non Bank โดยมีประเด็นสำคัญ คือ 1) คาดผลกระทบเชิงลบต่อดอกเบี้ยรับจะน้อยกว่าธนาคารเพราะไม่ได้เป็นการลดให้ทั้งหมด 2) รายได้ที่สูญเสียไปจะได้รับชดเชยเป็น Soft Loan จากธนาคารออมสิน และ 3) หากลูกหนี้กลับมาชำระคืน จะทำให้รายได้หนี้สูญรับคืนเพิ่ม และสำรองรวมถึงผลขาดทุนจากการขายรถยึดต่ำลง คงน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่ม Non-Bank ที่ มากกว่าตลาด เพราะมองว่าอุตสาหกรรมผ่านจุดที่ยากลำบากไปแล้ว และผลดำเนินงานโดดรวมจะเริ่มฟื้นตัว หนุนจากทั้งมาตรการอัดฉีดเงิน 10,000 บาท ของภาครัฐฯ ทั้ง 3 เฟส, การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง เลือก SAWAD (TP@50) เป็น Top Pick ของกลุ่ม คาดกำไรสุทธิ Q4/67 จะกลับมาโตทั้ง YoY และ QoQ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำเก็งกำไร SCAP(Non-Rated) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงสวนทางกับผลดำเนินงานที่คาดกำไรสุทธิ Q4/67 จะฟื้นตัวเด่นทั้ง YoY และ QoQ หลังผลขาดทุนจากการขายรถยึดปรับตัวลง และสำรองที่ผ่อนคลายลง MTC(TP@55) และ AEONTS(TP@153) ผลกระทบเชิงลบค่อนข้างจำกัด และมีปัจจัยช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง คงคำแนะนำ ซื้อ

ส่องกลุ่ม Finance หลังแบงก์ร่วมแข่งขัน ชู TIDLOR, MICRO หุ้นเด่น
อ่าน

ส่องกลุ่ม Finance หลังแบงก์ร่วมแข่งขัน ชู TIDLOR, MICRO หุ้นเด่น

ทันหุ้น-บล.โนมูระ พัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์หุ้น Consumer Finance โดยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มปี 2566 ลง 1% จากการรุกตลาดสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ ทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อรวมน้อยกว่าที่คาด โดยระยะสั้นอาจมีความกังวลในเรื่องการรุกสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 3/64 คาดว่ายังไม่น่าตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ BULLISH ต่อกลุ่ม เพราะคาดผลกระทบเรื่องการรุกตลาดสินเชื่อรายย่อยของ SCB ต่อกำไรสุทธิในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าน้อย คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 จนถึงปี 2566 กลับมาโตเด่น จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาดำเนินการมากขึ้น ทำให้คาดว่ารายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งหุ้นเด่นของกลุ่มเลือกหุ้น TIDLOR แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 44 บาทต่อหุ้น และหุ้น MICRO แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 11.40 บาทต่อหุ้น ฝ่ายวิจัยมองว่าการปรับโครงสร้างและการรุกตลาดสินเชื่อรายย่อยของ SCB ทำให้การแข่งขันของกลุ่ม Consumer Finance ที่มีความรุนแรงอยู่แล้ว จะมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อรวม โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือกลุ่มสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทาง SCB มีแผนตั้งบริษัทย่อย Card X ทำธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน แม้ว่าเป็นผู้เล่นรายเดิม แต่ต่อยอดการเติบโตของพอร์ตเดิม มองว่าทำได้ไม่ยากซึ่งกลุ่มนี้จะกระทบกับ KTC และ AEONTS ส่วนกลุ่มที่สอง คือกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทาง SCB มีแผนตั้งบริษัทย่อย Auto X ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน และ Alpha X เป็นความร่วมมือกับ Millennium Group ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถหรู ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งกลุ่มนี้จะกระทบกับ SAWAD, MTC, TIDLOR และ THANI ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยมองว่าไม่กระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เพราะ ช่วงแรกยังอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้าง และบริษัทรายเล็กจะได้รับผลกระทบก่อน อย่างไรก็ตามภาพระยะยาวมีความกังวลต่อการเติบโตของสินเชื่อรวมมากขึ้น ขณะเดียวกันมองว่าตลาดสินเชื่อรายย่อยมีโอกาสในการเติบโตอีกมากเพราะความต้องการสินเชื่อยังมีอยู่มาก

"แก้ปรับหนี้นอกระบบ" กระทบหุ้น Finance แค่ไหน?
อ่าน

"แก้ปรับหนี้นอกระบบ" กระทบหุ้น Finance แค่ไหน?

#ทันหุ้น - บล.ดาโอ ส่องหุ้น Finance มองเป็นกลางต่อการแถลงแนวทางการแก้หนี้นอกระบบ เนื่องจากเป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาดว่า 1) ต้องอาศัยระยะเวลาในการจัดการตั้งแต่การไกลเกลี่ยเจรจาผ่านตัวกลางภาครัฐ การปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ให้เป็นธรรมตามกฎหมายที่ไม่คิดดอกเบี้ยเกิน 15% รวมทั้งการติดตามผลการช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้นอกระบบซ้ำ และ 2) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ภายหลังที่เข้ามาอยู่ในระบบแล้วจะเป็นมาตรการช่วยเหลือของธนาคารรัฐที่ให้ความช่วยเหลือในปัจจุบันอยู่แล้ว ทั้งการให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่เกิน 5 ปี และการให้สินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระ ประเมินผลกระทบจำกัดต่อผู้ประกอบการธุรกิจ Finance เนื่องจากฝ่ายวิจัยประเมินว่าผู้ประกอบการจะยังคงเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ, การติดตามหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อป้องกันปัญหาด้าน NPL และค่าใช้จ่ายสำรอง ที่อาจจะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะภายหลังการสิ้นสุดมาตรการฟ้าส้มในปี 2566E ที่ทำให้ผู้ประกอบการอาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากการช่วยเหลือลูกหนี้ในแง่การจัดชั้น และการตั้งสำรอง เหมือนช่วง COVID ฝ่ายวิจัยจึงประเมินว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีโอกาสที่จะเข้าร่วมช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบที่น้อย สำหรับกลุ่ม Finance ให้น้ำหนัก มากกว่าตลาด และ Top pick เป็น KTC (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท) จากการเข้าสู่ช่วง high season และต่อเนื่อง Q1/67E จากผลบวก e-Refund Finance Overweight (maintained) ทั้งนี้ รัฐบาลแถลงเรื่องการแก้ปรับหนี้นอกระบบ วานนี้ (28 พ.ย.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าว การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้ - กระทรวงมหาดไทย: จะใช้เครือข่าย และข้าราชการท้องถิ่น เช่น นายอำเภอ โดยให้อำนาจดำเนินการให้คู่พิพาททำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจะเปิดรับลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 1ธ.ค. สำหรับประชาชนที่เดือดร้อนถูกข่มขู่คุกคามหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม - กระทรวงการคลัง: จะดูแลลูกหนี้นอกระบบภายหลังที่มีการปรับโครงสร้าง หรือไกลเกลี่ย โดยจะมีธนาคารของรัฐดูแล อย่าง i. ธนาคารออมสิน ที่ปล่อยกู้ไม่เกิน 50,000 บาท/ราย ไม่เกิน 5 ปี และจะมีการให้สินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระรายย่อยเพื่อส่งเสริมอาชีพ ให้กู้ไม่เกิน 100,000 บาท/ราย สูงสุดไม่เกิน 8 ปี ii. ธ.ก.ส. มีให้การสินเชื่อที่ดินขายฝาก หรือติดจำนองที่เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ทาง ธ.ก.ส. จะมีวงเงินให้กับเกษตรกรต่อราย 2.5 ล้านบาท ในการแก้ไขเรื่องที่ดินทำกิน ทั้งนี้จะมีการแถลงเรื่องภาพรวมหนี้แบบครบวงจร ซึ่งจะครอบคลุมทั้งหนี้ในระบบ และหนี้นอกระบบอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค.

7 ข้อควรรู้ในการนำรถจัด Finance
อ่าน

7 ข้อควรรู้ในการนำรถจัด Finance

การนำรถจัด Finance คือ การนำรถไปจำนำยังบริษัทที่รับจัด Finance รถโดยตรง กล่าวง่าย ๆ คือ การเปลี่ยนรถเป็นเงินสดนั่นเอง จัดเป็นสินเชื่อการกู้ยืมเงินประเภทหนึ่ง แต่ว่าเรายังสามารถนำรถที่ไปจัด Finance ขับใช้ได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องนำเล่มทะเบียนรถไปยื่นวางไว้ที่บริษัทแทน โดยจะมีการคิดดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินตามกฎหมายกำหนดไม่เกิน 15% ต่อปี ซึ่งข้อดี คือ เราได้เงินสดมาใช้แล้วยังสามารถใช้รถได้ตามปกติ จะเหมาะมากสำหรับผู้มีเหตุจำเป็นใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ต้องนำเงินไปลงทุนค้าขาย ค่ารักษาพยาบาลด่วน ค่าเล่าเรียนการศึกษาบุตร เป็นต้น แต่ไม่รู้จะไปหยิบยืมเงินจากไหนก็สามารถนำรถที่มีอยู่ไปแปรสภาพเป็นเงินสดนั่นเองส่วนตัวผู้เขียนเองเคยมีประสบการณ์ต้องการเงินก้อนไปลงทุนค้าขาย จึงตัดสินใจนำรถไปจัด Finance และได้เงินก้อนมาลงทุนค้าขายต่อยอดไปเรื่อย ๆ จึงอยากมาแนะนำเป็นแนวทางสำหรับผู้อ่านที่สนใจก่อนตัดสินใจนำรถไปจัด Finance โดยผู้เขียนสรุปให้ทั้งหมด 7 ข้อดังนี้1. เอกสารสำคัญก่อนนำรถไปจัด Finance เราจะต้องเตรียมเอกสารพื้นฐานหลักสำคัญที่บริษัทจะเรียกถามหาเมื่อเราเข้าไปติดต่อ นั่นคือ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เล่มทะเบียนรถ กุญแจสำรอง และรถที่นำเข้า แต่ทั้งนี้บางบริษัทอาจจะเรียกใช้ไม่ครบทั้งหมด เราก็เลือกนำรถไปเข้ากับบริษัทที่เราสะดวกด้านเอกสารหลักฐานที่ต้องเตรียมง่ายที่สุดค่ะ2. วงเงินให้กู้ก่อนเข้าไปติดต่อสอบถามบริษัทนั้น เราต้องทราบวงเงินที่เราต้องการกู้แน่นอน เพราะ ในแต่ละที่จะให้วงเงินแตกต่างกัน ข้อนี้จะเป็นตัวตัดสินใจสำคัญในการเลือกบริษัทที่จะนำรถไปจัด Finance โดยให้สอบถามหลาย ๆ ที่และเลือกบริษัทที่ให้วงเงินตามความต้องการเรานั่นเอง 3. อัตราดอกเบี้ยในแต่ละบริษัทจะมีโปรโมชั่นในการให้อัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน แต่ตามกฎหมายกำหนดให้ไม่เกิน 15% ต่อปี ดังนั้นเมื่อได้วงเงินกู้แล้ว ต่อมาเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็เลือกบริษัทที่ให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดค่ะ4. ระยะเวลาการผ่อนชำระอีกข้อสำคัญที่ควรทราบก่อนตกลงทำสัญญา คือ ระยะเวลาการผ่อนชำระต่ำสุดและสูงสุดได้กี่งวด และเราต้องมาพิจารณาความสามารถในการชำระของเราด้วยว่าแต่ละเดือนเราจะผ่อนได้ไหวไม่เกินจำนวนเท่าใด เพราะ ส่วนมากสัญญาจะกำหนดให้ผ่อนชำระ 1 งวดต่อ 1 เดือน อย่าเลือกผ่อนแบบสั้น ๆ เพื่อหวังว่าจะได้หมดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงรายจ่ายต่อเดือน จนทำให้ผ่อนจ่ายไม่ไหวตามกำหนดเท่ากับว่าเราผิดสัญญาการชำระไปเลย ทำให้เสียประวัติได้ อีกทั้งควรสอบถามถึงเรื่องการปิดก่อนกำหนดไว้ด้วย เผื่อมีเงินก้อนมาจะได้วางแผนการเงินถูก เพราะถ้าไม่มีส่วนลดแล้ว ควรผ่อนจ่ายไปตามงวดปกติ ยิ่งถ้าค้าขายด้วยแล้ว ควรนำเงินก้อนไปหมุนลงทุนทางอื่นก่อนค่ะ5. วันครบกำหนดและช่องทางการชำระวันครบกำหนดชำระ ถ้าจ่ายตรงเวลาจะมีผลต่อการมีสถานะลูกค้าประวัติชำระดี ก่อนทำสัญญาต้องสอบถามให้ดีก่อนว่าถ้าทำสัญญาวันนี้จะครบกำหนดจ่ายวันใด โดยเฉพาะอาชีพประจำรับเงินเดือน ส่วนมากเงินจะได้ปลายเดือนวันที่ 28 แต่ถ้าสมมุติเราทำสัญญากำหนดจ่ายทุกวันที่ 18 แล้ว ต้องสอบถามทางบริษัทให้เข้าใจว่าจะชำระตอนเงินเดือนออกในปลายเดือนได้หรือไม่ มีผลต่อประวัติการชำระหรือเปล่า ซึ่งทางบริษัทจะแนะนำทางออกในการชำระที่ดีให้กับเรา อีกทั้งช่องทางการชำระเงินก็สำคัญ กรณีที่เราไม่สะดวกไปชำระเองที่บริษัท ควรสอบถามหาช่องทางชำระสำรองไว้เพื่อเราจะได้ชำระตรงเวลาค่ะ6. ตรวจสอบสัญญาก่อนลงลายมือชื่อหลังจากเลือกบริษัทจัด Finance พร้อมตกลงเรื่องวงเงินและระยะเวลาการกู้เรียบร้อยแล้ว ขอย้ำว่าก่อนลงลายมือชื่อในคู่สัญญาจำเป็นต้องอ่านและตรวจดูรายละเอียดให้ถูกต้อง โดยเฉพาะตรงจุดวงเงินกู้และระยะเวลาการผ่อนชำระจะสำคัญมาก หากข้องใจในจุดไหนให้รีบสอบถามทางพนักงานที่ทำเรื่องทันที หากลงลายมือชื่อไปแล้วถือว่ายินยอมตกลงตามสัญญาที่ระบุไว้ ถ้าจะมาขอแก้ไขภายหลังจะเป็นเรื่องยากค่ะ7. กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทุกคนย่อมจะได้เผชิญกับเหตุการณ์ฉุกเฉินกันได้ อย่างผู้เขียนเองมีอยู่เดือนหนึ่งเกิดป่วยเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน ทำให้ไปจ่ายค่างวดตามกำหนดไม่ได้ จึงรีบโทรไปแจ้งยังบริษัทให้รับทราบพร้อมบอกเหตุผลและขอคำปรึกษาในปัญหานี้ทันที เพื่อแสดงว่าเราต้องการชำระค่างวดตามกำหนดแต่ว่ามีเหตุฉุกเฉินเข้ามา ซึ่งทางบริษัทก็ได้ช่วยเสนอแนะให้มาชำระอย่างช้าสุดได้ถึงวันไหน จะโดนค่าปรับจำนวนเท่าใด และถ้าเงินไม่พอจ่ายเลยและต้องการเงินเพิ่มก็แนะนำให้ทำสัญญาใหม่ได้ ดังนั้นจึงอยากย้ำว่าถ้าเราอยู่ระหว่างกู้การติดต่อกับบริษัทเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะมีประวัติของท่านในการติดต่อทางบริษัทด้วย ดีกว่าขาดการติดต่อไปเลย ย่อมจะไม่เป็นผลดีแก่เราเองค่ะจบลงไปแล้วนะคะ สำหรับข้อควรรู้ในการนำรถจัด Finance ที่สรุปมาจากประสบการณ์ผู้เขียน เพื่อจะได้เป็นแนวทางสำหรับใครที่จำเป็นต้องใช้เงิน การกู้ยืมเงินโดยนำรถจัด Finance ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด เพราะ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินข่าวมาบ้างว่า บางคนถูกยึดรถบ้าง แต่ถ้าเราได้ศึกษารายละเอียดกันก่อนกู้จะไม่มีปัญหาใด ๆ เลย แต่ทั้งนี้ต้องเลือกบริษัทรับจัด Finance รถที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย อีกทั้งเมื่อปิดไปแล้ว เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้เงินอีกรอบก็ไปติดต่อกู้ใหม่ได้ง่าย เพราะ เรามีเครดิตดีกับบริษัทอยู่แล้วนั่นเอง ภาพปกโดย Pixabayภาพประกอบที่ 1 โดย นักเขียน / ภาพประกอบที่ 2 โดย Pixabay / ภาพประกอบที่ 3 โดย Pixabay / ภาพประกอบที่ 4 โดย Pixabay / ภาพประกอบที่ 5 โดย Pixabay / ภาพประกอบที่ 6 โดย Pixabay      

เจาะหุ้นเด่น-ดับ "กลุ่ม Finance" หลังราคาพุ่งเกินแนวโน้มการฟื้นตัว
อ่าน

เจาะหุ้นเด่น-ดับ "กลุ่ม Finance" หลังราคาพุ่งเกินแนวโน้มการฟื้นตัว

#ทันหุ้น - บล.บัวหลวง เจาะหุ้น กลุ่ม Finance ออก IDEA call Downgraded Sector จาก เท่ากับตลาด เป็น น้อยกว่าตลาด เนื่องจากประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่ม Retail Finance จะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย ขณะที่ราคาหุ้น SAWAD และ TIDLOR ปรับเพิ่มขึ้น 41% และ 23% ตามลำดับ นับตั้งแต่ 15 ส.ค. 24 จนใกล้ ราคาเป้าหมายแล้ว จัวหวะขาย SAWAD-TIDLOR ลงทุน MTC ด้านปัจจัยพื้นฐาน มองเป็นจังหวะในการขายทำกำไร SAWAD และ TIDLOR เพราะมองว่ายังไม่ได้มี catalyst ที่โดดเด่นในระยะสั้น และ Switch มาลงทุนใน MTC เพราะประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปี ตลาดน่าจะหันมามองหุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของกำไรของ MTC จะโดดเด่นสุดในปี 2567-68 อีกด้วย โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า NPLs/Loans ของ MTC ใน Q3/67 จะดีขึ้น เพราะเน้นกลุ่มจำนำทะเบียนรถ ซึ่งระดับความเสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเช่าซื้อจักรยานยนต์ใหม่ของคู่เทียบ ซึ่งจะทำให้แนวโน้ม NPLs/Loans โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ โดย KTC SAWAD TIDLOR ฝ่ายวิจัยยังไม่คิดว่าแนวโน้มจะลดลงอย่างมีนัยฯ ใน Q3/67 เพราะลูกค้าไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต หรือ เช่าซื้อจักรยานยนต์ใหม่ยังฟื้นตัวช้า และการสำรองยังสูงต่อ

“เผ่าภูมิ”ถกทวิภาคีมาเลเซีย เปิดประตู Islamic-Halal Finance สู่ Fin Hub ไทย
อ่าน

“เผ่าภูมิ”ถกทวิภาคีมาเลเซีย เปิดประตู Islamic-Halal Finance สู่ Fin Hub ไทย

เผ่าภูมิ ถกทวิภาคี ขุนคลังมาเลเซีย ยกความร่วมมือในภูมิภาค กุญแจสำคัญรับมือความเสี่ยงการค้าโลก เปิดประตู Islamic-Halal Finance สู่ Fin Hub ไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors (AFMGM) ณ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 ได้ประชุมทวิภาคีกับ H.E. Datuk Seri Amir Hamzah Azizan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หมายเลข 2 มาเลเซีย โดยในการหารือได้มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาจุดสมดุลในการรับมือนโยบายด้านภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยไทยยืนยันในระบบการค้าเสรีและมุ่งเน้นเจรจาให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและภูมิภาคอย่างรอบคอบ เขากล่าวว่า เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียนมีส่วนสำคัญยิ่งสำหรับการรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ในระหว่างการหารือ ทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือแนวทางเชิงลึกและความเป็นไปได้ในการปรับสมดุลในรายละเอียด ทั้งด้าน อัตราภาษี การส่งออก การนำเข้าเพื่อแปรรูปและส่งออกต่อ ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers (NTBs)) ทั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นว่าการสร้างความร่วมมือกันในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนั้น ยังได้มีการหารือถึงการยกระดับการเชื่อมต่อการชำระเงินระหว่างประเทศระหว่างไทย-มาเลเซีย โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ และหารือความคืบหน้าของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ของไทยในมิติการเงินอิสลาม (Islamic Finance) ซึ่งหน่วยงาน OSA ซึ่งจะกำกับธุรกิจการเงินระหว่างประเทศใน Financial Hub ของไทย พร้อมยกระดับการทำงานร่วมกับ Labuan IBFC ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับของฝั่งมาเลเซีย โดยประเทศไทยยินดีเป็นประตูแห่งโอกาสให้กับนักลงทุนใน Halal Finance, Islamic Microfinance และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สอดคล้องกับหลักศาสนา การหารือยังครอบคลุมแนวทางขยายการให้บริการ Takaful (ประกันภัยอิสลาม) Islamic Credit และเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนมุสลิม โดยอาศัยศักยภาพของ Financial Hub และระบบการเงินดิจิทัลของทั้งสองประเทศในการเชื่อมโยง

KTB โชว์นวัตกรรมการเงินดิจิทัล  งาน BOT Digital Finance 14-15 ก.ย.
อ่าน

KTB โชว์นวัตกรรมการเงินดิจิทัล งาน BOT Digital Finance 14-15 ก.ย.

ธนาคารกรุงไทยหรือ KTB ร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023โชว์ศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ชูบริการ PromptBiz ตอบโจทย์การทำธุรกิจจนถึงซัพพลายเชน และ เป๋าตัง ซูเปอร์แอปฯ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกวัน โดยธนาคารเข้าร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Building Ecosystem for Responsible Innovation หรือ การพัฒนาระบบนิเวศการเงินดิจิทัลอย่างรับผิดชอบ ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2566 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในงาน ธนาคารตอกย้ำศักยภาพบริการทางการเงินดิจิทัลด้วยแนวคิด "Empower Infinite Innovation for All Thais" โดยนำเสนอบริการ PromptBIZ ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม Krungthai BUSINESS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการเอกสารการค้าได้ครบวงจร พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องออก 50 ทวิให้กับคู่ค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เป็นธรรม ธนาคารยังนำเสนอศักยภาพของ แอปพลิเคชัน เป๋าตัง ซูเปอร์แอปฯ ที่ถูกพัฒนาเป็น Thailand Open Digital Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้บริการได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ ผ่าน G-Wallet และปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ทั้งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ผ่านบริการ วอลเล็ต สบม. บริการซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัลบริการซื้อขายทองคำ ผ่าน Gold Wallet พร้อมบริการด้านสุขภาพ ผ่าน Health Wallet เชื่อมต่อกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ให้ประชาชนตรวจสอบ และเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ นอกจากนี้ บริษัท อะไรส์ บาย อินฟินิธัส จำกัด (Arise by Infinitas) องค์กรสำหรับคนดิจิทัล ได้นำเสนอโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตนเอง ด้วย Program Talent Incubator ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้คนไทยมีประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลที่ดี ภายใต้แนวคิด Make Digital Life Possible for ALL

บล.บัวหลวง เปิดประเด็นสำคัญ 10 บจ. กลุ่ม Bank-Finance หลังประชุมนักวิเคราะห์
อ่าน

บล.บัวหลวง เปิดประเด็นสำคัญ 10 บจ. กลุ่ม Bank-Finance หลังประชุมนักวิเคราะห์

ทันหุ้น - บล.บัวหลวง ส่องพื้นฐาน VGI-TVO-SIRI-RS-PTT-ORI-CRC-BCP-BANPU-BPP กลุ่ม Bank และ Finance มุมมองหลังจากประชุมนักวิเคราะห์ ดังนี้ **บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI มุมมองออกมา เป็นกลาง โดยใน Q2/64 (ก.ค.-ก.ย.) ยังได้รับอานิสงส์จาก Early bird และการฟื้นตัวของ MACO ด้านต้นทุน โดย MACO มีการเจรจาต่อรองกับเจ้าของพื้นที่สนามบินในมาเลเซีย โดยสัญญาใหม่ค่อนข้างน่าพอใจ Fanslink จะมีการรวมงบเข้ามา 8 เดือนในปีบัญชีนี้จะทำให้รายได้สูงขึ้น แต่ไม่ได้ส่งผลต่อกำไรอย่างมีนัยยะสำคัญ คำแนะนำพื้นฐาน ยังคงมองว่า VGI จะยังประคองตัวได้ในไตรมาสนี้ และการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ COVID-19 และการฉีดวัคซีนในประเทศไทย **บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO มุมมองที่แย่ลงกว่าที่เคยคาดเดิมสำหรับผลประกอบการใน 2H64 โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GM) มีแนวโน้มอ่อนตัวลงไปมากกว่าที่เราเคยคาดก่อนหน้า ซึ่งผู้บริหารมองว่า GM ใน 2H64 อาจไม่ถึงตัวเลขสองหลัก บวกกับการปิดโรงงานซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ 1 เดือนใน Q4/64 จะเป็นปัจจัยลบที่จะส่งผลให้กำไร 2H64 อ่อนตัวจากที่เคยคาด คำแนะนำพื้นฐาน มองว่ากำไรสุทธิของ TVO ใน Q3/21 มีแนวโน้มต่ำกว่าที่เราเคยคาดก่อนหน้าที่ 600 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิใน Q4/64 มีแนวโน้มลดลงจากที่เคยคาดก่อนหน้าจากการปิดซ่อมบำรุง 1 เดือนซึ่งจะส่งผลให้ทั้งวอลุ่มขายกากถั่วเหลืองและ GM ใน Q4/64 อ่อนตัวลงจาก Q3/64 บวกกับ GM ที่ผู้บริหารมองว่าไม่น่าจะถึงตัวเลขสองหลักใน 2H64 (ซึ่งแย่กว่าที่เราเคยคาดก่อนหน้าว่าน่าจะอยู่ในช่วง 11-13%) มองว่ากำไรสุทธิของเรา ณ ปัจจุบันที่ 2.59 พันล้านบาทสำหรับปี 2021 มีแนวโน้มปรับลดลงเหลือ 2.2-2.3 พันล้านบาท เราอยู่ระหว่างปรับประมาณการกำไรสุทธิของ TVO สำหรับปี 2021-22 และอยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำหุ้น TVO **บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI มองเป็นบวก โดยผู้บริหารประเมินแนวโน้ม presales ยังทรงตัวได้ใน Q3/64, อัตรากำไรขั้นต้น (GP) ที่จะยืนในระดับปกติได้แล้ว และมั่นใจต่อเป้าหมายยอดขาย-ยอดโอนทั้งปี 2564 ซึ่งหมายถึงจะมี Upside ราว 10% ต่อประมาณการกำไรหลักปี 2564 ที่ 1.86 พันล้านบาท (ใกล้เคียงกับตลาด) คำแนะนำพื้นฐาน คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 1.6 บาท โดยมองการฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติของธุรกิจอสังหาฯ ทั้งโครงการที่เปิดตัวใหม่ผลตอบรับดี และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาปกติ รวมทั้งโอกาสปรับประมาณการกำไรจากทั้งเราและตลาด ราคาหุ้นจะตอบรับในเชิงบวกได้มากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันที่ยังซื้อขายบน PBV (แบบไม่รวมหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์) ต่ำมากเพียง 0.5 เท่า **บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS มุมมองออกมาเป็นกลาง โดยคาดว่ากำไรใน Q2/64 ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป บริษัทจะเข้าซื้อหุ้น 33% ใน Specialty Group ซึ่งธุรกิจหลักคือการผลิตสารสกัด และ OEM ในการผลิตสินค้า ไม่ว่าจะเป็น อาหารเสริม สมุนไพร และเครื่องสำอาง คำแนะนำพื้นฐาน ยังมองว่าผลประกอบการของ RS ยังคงได้รับแรงกดดันจากภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อีกทั้งยังออกสินค้าใหม่มาในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทำให้รายได้ไม่เข้ามาในขณะทีมีค่าใช้จ่ายเข้ามาเราคงคำแนะนำ wait-and-see รอการฟื้นตัวที่ชัดเจนของภาพกำไร **บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยืนยันมุมมองเชิงบวกของฝ่ายวิจัยต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานปีนี้ และการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวของบริษัท PTT วางกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวทั้งในส่วนของธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจในอนาคต โดยมีเป้าหมายการลงทุนที่จะสอดรับกับ global mega trends และแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) Energy, 2) Future Energy, และ 3) Beyond Energy คำแนะนำพื้นฐาน แนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2564 หนุนโดยการฟื้นตัวของอุปสงค์อย่างต่อเนื่องและส่วนต่างราคาที่ขยายตัว คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป นอกจากนั้นการลงทุนใหม่ต่างๆ จะหนุนการเติบโตของกำไรในระยะยาว มูลค่าหุ้นปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 2564 ที่ 1.1 เท่า เราคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2564 ที่ 5.6% รวมทั้งน่าจะมีอัพไซด์สำหรับอัตราการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากบริษัทมีเงินสดในมือจำนวนมาก เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 55 บาท **บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ยืนยันมุมมองเชิงบวกทั้งจากธุรกิจหลัก อสังหา ที่บริษัทสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังมีอัพไซด์จากธุรกิจใหม่ที่บริษัทขยายการลงทุนออกไป 2H64 บริษัทมี Backlog ราว 9.4 พันล้านบาท ที่พร้อมโอนซึ่งรองรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่เอาไว้ทั้งหมดแล้ว และ Backlog ส่วนที่เหลืออีก 2.5 หมื่นล้านบาท จะทยอยโอนใน 2565-67 คำแนะนำพื้นฐาน ยืนยันคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท และยังมีอัพไซด์ในอนาคตเมื่อธุรกิจใหม่ของบริษัทมีความชัดเจนและส่งกำไรกลับมาที่ ORI มากขึ้น คาดราคาหุ้นจะ Re-rate PE ขึ้นได้ premium กว่ากลุ่มพัฒนาอสังหาฯทั่วไป **บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC สารออกมาเป็นกลาง เนื่องจากข่าวร้ายจากการปรับรายได้ปี 2564 ลดลงจากการปิดเมือง (Q3/64) จะชดเชยด้วยการกลับมาของรายได้หลังเปิดเมืองอย่างรวดเร็ว ในระยะสั้นเห็นความเสี่ยงการปรับประมารการกำไรลงจากตลาด เทียบกับฝ่ายวิจัยที่คาดการณ์กำไรหลักต่ำมากแล้วที่เพียง 125 ล้านบาทในปี 2564 และที่3.1 พันล้านบาทในปี 2565 (ฟื้นตัวราว 40% ของกำไรก่อนการระบาด COVID-19) คำแนะนำพื้นฐาน แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสม อย่างมีสารสำคัญ เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจว่าราคาหุ้นสามารถยืนที่ 30 บาทได้ (ถ้าหลุดก็แป๊บเดียวมาก) เนื่องจาก 1) ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงถึง 21% ในรอบ 3 เดือนล่าสุด ซึ่งเป็นระดับสะท้อนข่าวร้ายการขาดทุนในระยะสั้นมากแล้ว, และ 2) มูลค่าหุ้นซื้อขายที่ PBV ล่าสุดที่ 3.5 เท่า ต่ำกว่าผู้นำกลุ่มอย่าง CPALL ที่ 5.6 เท่ามาก และ CRC ซื้อขายที่ Price to Sales ปี 2565 เพียง 0.8 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ CRC ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 42 บาท **บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ยืนยันมุมมองเชิงบวกของฝ่ายวิจัยต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 2H64 และโอกาสในการลงทุนใหม่ของบริษัท โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ energy transition โดยจะเริ่มลงทุนในส่วนของธุรกิจ LNG, oxygen, hydrogen รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องต่อไป คำแนะนำพื้นฐาน แนวโน้มผลประกอบการ 2H64 ที่ดีขึ้น และมุมมองเชิงบวกของตลาดต่อโอกาสการเติบโตจากธุรกิจใหม่คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ ราคาหุ้นปัจจุบันซึ่งซื้อขายที่ PBV ปี 2564 ที่ 0.5 เท่าและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2564 ที่ 7.2% (เทียบกับ 3% ของ SET) น่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น ในกลุ่มโรงกลั่น ยังคงชอบ TOP (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 69 บาท) มากกว่า เนื่องจากกำไรมีความไวต่อการฟื้นตัวของค่าการกลั่นมากกว่า **บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU และ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าลงทุนในโครงการ Temple-I โดยในอนาคตอาจมี synergy ร่วมกันระหว่าง BANPU และ BPP ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของโครงการ Temple-I ทั้งนี้ BANPU ได้มีการป้องกันความเสี่ยงด้านราคาถ่านหินไว้บางส่วน จึงอาจเกิด hedging loss ในช่วง 2H64 จากราคาถ่านหินที่ปรับตัวขึ้นแรง คำแนะนำพื้นฐาน คาดว่าภายใน Q4/64 ตลาดจะปรับประมาณการกำไรระยะยาวของทั้ง BANPU และ BPP ขึ้นจากการเข้าลงทุนในโครงการ Temple-I โดยเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ต่อ BANPU (อยู่ระหว่างการทบทวนราคาเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนและการออก warrant) และ "ซื้อ" ต่อ BPP (ราคาเป้าหมาย 22 บาท) **กลุ่ม ธนาคาร และการเงิน ข่าวการออกราชกิจจานุเบกษาเรื่องการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้ โดยผู้ทวงถามหนี้สามารถเก็บค่าธรรมเนียมไม่เกินห้าสิบบาทต่อรอบการทวงถามหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระหนึ่งงวด และไม่เกินหนึ่งร้อยบาทต่อรอบในกรณีที่ลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระมากกว่าหนึ่งงวด ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้อีกภายหลังจากได้รับชำระหนี้ครบตามจำนวนหรือมีการบอกเลิกสัญญาตามกฎหมาย และประกาศมีผลบังคับใช้หลังจากพ้นกำหนด 30 วัน คำแนะนำพื้นฐาน คาดจะมีผลกระทบต่อประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารค่อนข้างจำกัด (ไม่เกิน 1% ของประมาณการกำไรทั้งปี) เนื่องจากค่าทวงถามติดตามหนี้ในแต่ละธนาคารมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้รวม รวมทั้งที่ผ่านมาบางธนาคารมีการ wave ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เป็นระยะๆ ในขณะที่กลุ่มการเงิน คาดมีผลกระทบต่อประมาณการกำไรแบบจำกัดเช่นกัน (ไม่เกิน 1% ของประมาณการกำไรทั้งปี) เนื่องจากพอรต์สินเชื่อหลักส่วนใหญ่ของกลุ่มการเงินประกอบไปด้วย สินเชื่อบัตรเครดิต (KTC) สินเชื่อส่วนบุคคล (KTC SAWAD และMTC) และสินเชื่อจำนำทะเบียน (MTC SAWAD และ TIDLOR) โดยสินเชื่อกลุ่ม HP และ Leasing (MTC SAWAD TIDLOR และ KTC) ส่วนใหญ่มีสัดส่วนที่น้อยรวมทั้งบางบริษัทมีการ wave ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เป็นระยะเช่นกัน

เจาะหุ้นเด่น "กลุ่มแบงก์-Finance" เทรนด์ลงทุน หลังกนง.คงดอกเบี้ย
อ่าน

เจาะหุ้นเด่น "กลุ่มแบงก์-Finance" เทรนด์ลงทุน หลังกนง.คงดอกเบี้ย

#ทันหุ้น - บล.ดาโอ มุมมองกลางต่อการคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ที่2.5% เป็นไปตามที่ตลาดและฝ่ายวิจัยคาด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสน้อยที่จะปรับขึ้น และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงในปี 2567E ตามเศรษฐกิจที่เพิ่ม และเงินเฟ้อที่อ่อนตัว ทั้งนี้ คาดว่ากนง. จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใน 2H67E กลุ่ม Finance มองกลางจากต้นทุนทางการเงินที่ยังเพิ่มขึ้นจากการ replacement หุ้นกู้ในอัตราที่ชะลอตัวตามที่ฝ่ายวิจัยคาด ขณะที่ผลการดำเนินงานอื่นที่เริ่มดีขึ้น ทั้ง NPL ที่คาดว่าจะผ่านจุดสูงสุดใน Q3/66 และค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ทั้งนี้ คงคำแนะนำการลงทุนในกลุ่ม Finance ที่ มากกว่าตลาด Top pick เป็น TIDLOR (ซื้อ/เป้า 28.00 บาท) จากสินเชื่อที่เติบโตดี, NPL และ credit cost ได้ผ่านจุดสูงสุดใน Q3/66 แล้ว ส่วนกลุ่มธนาคาร มีโอกาสปรับน้ำหนักการลงทุนเป็น เท่ากับตลาด จากเดิมที่ มากกว่าตลาด เพราะจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้คาด NIM ใน Q4/66E จะทำจุด Peak และจะค่อยๆ ชะลอตัวลงในปี 2567E ทำให้ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรปี 2567E จะเติบโตแบบชะลอตัวลงที่ +8% YoY จากปี 2566 ที่ +17% YoY เลือก KBANK-BBL เป็น Top pickกลุ่ม KBANK (ซื้อ/เป้า 155.00 บาท) BBL (ซื้อ/เป้า 205.00 บาท)

MONEY EXPO 2023 BANGKOK ขนทัพแคมเปญการเงินการลงทุนคับคั่ง  ชูแนวคิด "Green Finance for Green Living"
อ่าน

MONEY EXPO 2023 BANGKOK ขนทัพแคมเปญการเงินการลงทุนคับคั่ง ชูแนวคิด "Green Finance for Green Living"

พร้อมจัดยิ่งใหญ่ งานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่23Money Expo 2023 Bangkok จับมือพันธมิตรธนาคาร สถาบันการเงิน หน่วยงานรัฐและเอกชนชั้นนำทั่วประเทศร่วมงานภายใต้แนวคิด Green Finance for Green Livingการเงินสีเขียวเพื่อชีวิตสีเขียว เปิด7 โซนบริการ การเงินการลงทุนครบวงจร พร้อมทัพโปรโมชั่นสุดพิเศษ เงินฝากดอกเบี้ยสูง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ กิจกรรมสัมมนา/เวิร์กช็อปคอนเสิร์ต ศิลปินดาราสุดฮอต วันที่11-14 พฤษภาคม 2566 ชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานีนางสาวภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานร่วม งานมหกรรมการเงินMoney Expoเปิดเผยว่า วารสารการเงินธนาคาร จะจัดงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่23Money Expo 2023 Bangkokในระหว่างวันที่11-14 พฤษภาคม2566ชาเลนเจอร์2-3อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด Green Finance for Green Livingการเงินสีเขียวเพื่อชีวิตสีเขียวเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนและธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรัฐและเอกชน สามารถเข้าถึงGreen Financing ให้ได้มากที่สุด เพื่อร่วมกันฟื้นฟูโลกของเราให้กลับคืนมาเป็น โลกสีเขียว ที่ยั่งยืนตลอดไปนางสาวภาคนีกล่าวว่า ภายในงาน มีธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ บริษัทการเงิน (นอนแบงก์) บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นำบริการทางการเงินและการลงทุนที่ครบวงจร พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษในรอบปี มาแข่งขันกันในงานอย่างเต็มที่ ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำเป็นพิเศษ สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่คุ้มค่า รวมไปถึงการชิงรางวัล ของแจกของแถมต่างๆ มากมายงานมหกรรมการเงินMoney Expo เป็นงานที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา มหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่22 Money Expo 2022 Bangkok สามารถสร้างยอดธุรกรรมทางการเงินและการลงทุน ทั้งแบบออฟไลน์ที่เดินทางมาใช้บริการในงาน และแบบออนไลน์ที่ทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มMoneyExpoOnline รวมกว่า27,500 ล้านบาทสำหรับงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่23Money Expo 2023 Bangkok ประกอบด้วย7โซนบริการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้1. โซนตลาดเงินเป็นโซนที่ให้บริการทางการเงินจากธนาคาร และสถาบันการเงินอย่างครบวงจร ทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์/มอเตอร์ไซค์ สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อบัตรเครดิตและบัตรเงินสด รวมไปถึงลูกค้าเงินฝาก หรือลูกค้าที่ต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล สลากออมทรัพย์ บริการไพรเวตแบงกิ้ง และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ เช่น สินเชื่อเอสเอ็มอี สินเชื่อเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน สินเชื่อนำเข้า-ส่งออก 2. โซนตลาดทุน เป็นโซนที่ให้บริการการลงทุนที่ครบถ้วน ทั้งหุ้น กองทุน ทองคำ นำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3. โซนประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ/ประกันภัย เป็นโซนที่ให้บริการด้านประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันวินาศภัย หลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เน้นเรื่องความคุ้มครอง และแบบที่เน้นเรื่องการออมและการลงทุน4. โซนรถยนต์/สังหาริมทรัพย์เป็นโซนที่ให้บริการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ยี่ห้อดัง พร้อมสินเชื่อรถยนต์ ประกันรถยนต์ และเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทกว่า 100 โครงการ ในราคาพิเศษ เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ในทุกทำเลทั่วประเทศ จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ และโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ มากมาย เช่น เงินดาวน์ต่ำ ผ่อนนาน ฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นต้น5. โซน Health Wellness Expoซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยเป็นโซนที่เปิดพื้นที่ให้ผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Health และ Wellness ครอบคลุมตั้งแต่ Preventive Health Care ธุรกิจเพื่อดูแลสุขภาพส่วนบุคคล ความสวยความงาม การชะลอวัย สินค้าและบริการเพื่อกิจกรรมและการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ สินค้าและบริการเพื่อโภชนาการด้านสุขภาพ อุปกรณ์และเครื่องใช้ในบ้านเพื่อสุขภาพและสรีระ 6.โซนSME Lifestyle เป็นโซนขายสินค้าคุณภาพระดับพรีเมียม ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสินค้าแฟชั่นหลากหลายชนิด7. โซนFood Zone By Gourmet Cuisineเป็นโซนจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มที่คัดสรรเป็นพิเศษ ร้านดังร้านอร่อย คัดเลือกโดยกองบรรณาธิการ Gourmet Cuisine มาให้ลิ้มลองในราคาพิเศษ ทั้งนี้ งานมหกรรมการเงิน Money Expo 2023 Bangkok ยังสามารถใช้บริการในงานในรูปแบบ Hybrid Exhibition ที่ประชาชนสามารถใช้บริการทางการเงิน และการลงทุนได้อย่างทั่วถึง ทั้งแบบออฟไลน์ที่เดินทางมาทำธุรกรรมภายในงาน และแบบออนไลน์ที่ทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มใหม่ www.moneyexpoonline.com โดยผู้ชมสามารถคลิกดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน และแจ้งความสนใจในผลิตภัณฑ์ผ่านแพลตฟอร์มได้ทันที รวมทั้งยังสามารถเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ระหว่างธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อประกอบการตัดสินใจให้ง่ายขึ้นอีกด้วยกิจกรรมพิเศษภายในงาน Money Expo 2023 Bangkok ได้แก่การสัมมนา/เวิร์กช็อปเพื่อให้ความรู้ทางการเงินการลงทุน โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในตลาดเงินและตลาดทุนแก่ ผู้เข้าชมงานวันละหลายรอบตลอดการจัดงานเพื่อให้ความรู้และคำแนะนำด้านการลงทุนในแบบรู้ลึก รู้จริง และนำไปปฏิบัติได้ แก่ผู้เข้าชมงานในห้อง Workshop ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีหัวข้อการ Workshop ที่น่าสนใจมากมายตลอดทั้ง 4 วันมินิคอนเสิร์ต การแสดงมินิคอนเสิร์ตจากดารานักร้องและศิลปินชื่อดังตลอด 4 วัน โดยแบ่งออกเป็นรอบตามบูธต่างๆ เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้เข้าชมงานกิจกรรมเวทีกลาง เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมออกบูธในงานมาทำกิจกรรมเพื่อโปรโมตสินค้าและบริการให้กับผู้เข้าชมงานกิจกรรมธุรกรรมนำโชค เป็นกิจกรรมสำหรับผู้เข้าชมงานที่ทำธุรกรรมภายในงาน ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ร่วมกิจกรรมผ่านทางผ่านทาง Application MoneyExpoPlus+ ผู้โชคดีจะได้รับรางวัลมูลค่าร่วมกว่า 200,000 บาท เช่น iPhone14, บัตรที่พักหัวเก้าอี้นวดไฟฟ้าแบรนด์ดัง เป็นต้น

TU ปลื้มหุ้นกู้ยั่งยืนร้อนยอดจองล้น 3.68 เท่า ดัน Blue Finance ปี 68 ทะลุเป้า
อ่าน

TU ปลื้มหุ้นกู้ยั่งยืนร้อนยอดจองล้น 3.68 เท่า ดัน Blue Finance ปี 68 ทะลุเป้า

#TU #ทันหุ้น-บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) (Blue Bond) หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจล้นหลามจากนักลงทุน ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า จากเป้าหมายการระดมทุนที่ 7,000 ล้านบาท จึงได้เพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้เป็น 9,000 ล้านบาทการระดมทุนในครั้งนี้ทั้งหมดส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนบรรลุเป้าหมาย Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล โดยสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นระดับที่ 80% พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเรา และสะท้อนจุดยืนที่ชัดเจนว่าถึงการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยนอกจากความสำเร็จด้านการระดมทุนแล้ว แรงสนับสนุนและความไว้วางใจจากนักลงทุนยังช่วยผลักดันให้ไทยยูเนี่ยนเดินหน้ากลยุทธ์ทางการเงินให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน SeaChange® 2030 และพันธกิจของเราในการมุ่งสร้างสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ‘Healthy Living, Healthy Oceans’ เพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก”ทั้งนี้ ธุรกรรมล่าสุดมีมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2568 แบ่งเป็นสินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท จากกลุ่มพันธมิตรธนาคารชั้นนำ และหุ้นกู้จำนวน 9,000 ล้านบาท โดยนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง หุ้นกู้ Blue Bond และหุ้นกู้ SLB ได้รับความต้องการที่ล้นหลามจากนักลงทุน ส่งผลให้ยอดจองหุ้นกู้สูงเกินกว่ายอดเสนอขาย ทำให้ไทยยูเนี่ยนสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดของช่วงเสนอขายในทุกช่วงอายุของหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อสถานะทางการเงินและวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัท โดยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังต่อไปนี้หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70%หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.20%หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.46%นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดบริษัทได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ไว้ที่ระดับ A+ ต่อเนื่อง**ปีนี้ระดมทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล 2.4 หมื่นลบ.นายลูโดวิค การ์นิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายสำหรับเรา ความสำเร็จนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อความแข็งแกร่งด้านการเงินและทิศทางกลยุทธ์ของบริษัท การออกหุ้นกู้ที่มีโครงสร้างแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยอดจองหุ้นกู้ที่สูงกว่ายอดเสนอขายนั้น สะท้อนชัดเจนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่มีความซับซ้อน เราขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านสำหรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา”สถาบันการเงินที่มีบทบาทในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้และให้สินเชื่อในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (สำหรับทั้งหุ้นกู้และสินเชื่อ) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (สำหรับหุ้นกู้) และธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคาร มิซูโฮ จำกัด ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขาสิงคโปร์ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขากรุงเทพ และสาขาสิงคโปร์ (สำหรับสินเชื่อ)เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนยังได้รับเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางทะเล (Blue Loan) มูลค่า 5,000 ล้านบาทจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และกลุ่มธนาคารพันธมิตร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนและการรับรองมาตรฐานสำหรับเกษตรกรกุ้ง ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล รวมทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาทในปี 2568ตราสารทางการเงินเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของบริษัท ผ่านการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สำคัญ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมีความรับผิดชอบ และการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของมหาสมุทร โดยหุ้นกู้ SLB จะได้รับิประโยชน์ทางการเงินเมื่อองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดขณะที่หุ้นกู้ Blue Bond นั้นมุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนโดยตรงไปยังโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน

SINGER จับมือ SGC เปิดตัวสินเชื่อ SG Finance+ เจาะตลาดสมาร์ทโฟน
อ่าน

SINGER จับมือ SGC เปิดตัวสินเชื่อ SG Finance+ เจาะตลาดสมาร์ทโฟน

#ทันหุ้น - SINGER จับมือ SGC แกรนด์โอเพนนิ่งสินเชื่อ SG Finance+ เดินหน้าแคมเปญ Locked Phoneเจาะตลาดสมาร์ทโฟน ดันยอดขายโต คุมเสี่ยง นำเทคโนโลยีหนุน โดย J ventures เบื้องหลังผู้พัฒนาระบบ และประกาศจับมือพาร์ทเนอร์ 3 แบรนด์มือถือชั้นนำ OPPO - VIVO - XIAOMI ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนได้ง่ายด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่สาขาของร้านขายโทรศัพท์มือถือที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีได้รับการตอบรับลูกค้า 100,000 สัญญา หรือพอร์ตสินเชื่อโตแตะ 1,200 ลบ. มั่นใจ S-Curve ใหม่ธุรกิจ นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ซิงเกอร์ครบรอบ 135 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาซิงเกอร์เป็นผู้นำการขายระบบเช่าซื้อ เพื่อให้คนไทยได้เป็นเจ้าของสินค้าได้ง่ายขึ้น และบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญทางด้านการนำเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น จนมาถึงปีนี้เป็นปีที่บริษัทฯ ได้ทำเทคโนโลยีด้านการยืนยันตัวตน การทำ Credit scoring ผ่านการทำ Digital app ที่พัฒนาโดย บริษัท เจเวนเจอร์ส จำกัด ภายใต้สินเชื่อใหม่ เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+) นับเป็น Business Model ใหม่ ที่ให้ผลตอบแทนดี Yield สูง ควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยี Device Locking จากพาร์ทเนอร์ ทำให้สามารถล็อคเครื่องได้กรณีไม่ผ่อนชำระ ซึ่งจะทำให้ NPL ต่ำ และสามารถอนุมัติได้ภายใน 3 นาที ซึ่งจะตอบโจทย์ทั้งลูกค้า และพันธมิตรร้านค้ากลุ่ม IT ที่จะสามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้น ด้วย Business Model นี้ จะสนับสนุนให้ภาพรวมธุรกิจและพอร์ตสินเชื่อที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC (บริษัทในกลุ่ม SINGER) หนึ่งในผู้นำด้านสินเชื่อชั้นนำของประเทศ ทั้งสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า (Hire Purchase) และสินเชื่อประเภทอื่นๆ กล่าวว่า SGC เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+) สินเชื่อที่ให้ลูกค้าสามารถผ่อนสมาร์ทโฟนได้ โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว โดยดำเนินการในรูปแบบสัญญาเช่าซื้อ (Hire Purchase) พร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ 1 มิถุนายน 2567 นี้ ในเฟสแรก SGC ได้จับมือพาร์ทเนอร์ 3 แบรนด์มือถือชั้นนำ OPPO - VIVO - XIAOMI ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนได้ง่าย พร้อมกับการนำเทคโนโลยีมาเสริมทัพการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น อนุมัติและรู้ผลไว ภายใน 3 นาที มีอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เริ่มต้นที่ 1.25% ต่อเดือน ด้วยระยะเวลาผ่อนมือถือไม่เกิน 24 เดือน ซึ่งสามารถใช้บริการสินเชื่อ SG Finance+ ได้ที่สาขาของร้านขายโทรศัพท์มือถือที่ร่วมรายการทั่วประเทศแบบเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป โดยมี Dealer ที่เข้าร่วมรายการได้แก่ AIS Telewiz, TG Phone, COM7, IT City, Jaymart Mobile, SINGER และกำลังเดินหน้าจับมือพันธมิตรเพิ่มเติม ด้วยเป้าหมายร้านค้ากว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ SG Finance+ ตั้งเป้าจะมียอดปล่อยสินเชื่อในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท ภายใต้สัญญาทั้งหมด 100,000 สัญญา

"บพท."จับมือ 20 มหาวิทยาลัยสร้าง LE Financing เสริมแกร่งธุรกิจชุมชนก้าวข้ามโควิด
อ่าน

"บพท."จับมือ 20 มหาวิทยาลัยสร้าง LE Financing เสริมแกร่งธุรกิจชุมชนก้าวข้ามโควิด

นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปี 2563 ต่อเนื่องถึงปี 2564 บพท.ได้ประสานความร่วมมือกับ 20 มหาวิทยาลัย ในการใช้องค์ความรู้ตลอดจนทักษะด้านการวิจัย เข้าไปผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นครอบคลุม 73 จังหวัดทั่วประเทศ โดยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนระเบิดปัญหาอุปสรรค และความต้องการของตัวเองออกมา เพื่อร่วมกันแสวงหาทางแก้ไข ด้วยการสร้างนวัตกรรมความรู้ใหม่ ที่ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ปัญหา และสามารถหาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับธุรกิจของตัวเอง สำหรับเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ธุรกิจชุมชนในท้องถิ่นอย่างได้ผล โดยผ่านแพลตฟอร์มแผนงานการพัฒนาธุรกิจชุมชน (Local Enterprise-LE) นายบัณฑิต อินณวงศ์ หัวหน้าแผนงานการพัฒนาธุรกิจชุมชน บพท.กล่าวว่า บพท.กับคณาจารย์และคณะนักวิจัยจาก 20 มหาวิทยาลัย ได้เข้าสำรวจข้อมูลธุรกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 630 แห่งระหว่างวันที่ 1-15 ก.พ.2564 และพบว่าธุรกิจกว่าร้อยละ 61.6 มีรายได้ลดลง ขณะที่ธุรกิจ ร้อยละ 42.3 ต้องลดรายจ่าย และธุรกิจ ร้อยละ 46.6 เผชิญปัญหาต้นทุนในการดำเนินกิจการ ส่วนธุรกิจ ร้อยละ 36.5 เผชิญกับความเสี่ยงในการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้น เรายังพบด้วยว่ามีธุรกิจเอสเอ็มอีในชุมชนจำนวนไม่น้อยที่เสี่ยงจะต้องปิดกิจการเพราะปัญหาสภาพคล่องไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่คาดว่าจะประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ในช่วงเวลา 6 7.5 เดือนเท่านั้นซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างแรงต่อการจ้างงานงานในท้องถิ่น นายบัณฑิต ชี้แจงว่าปัญหาอุปสรรคสำคัญที่สุดของธุรกิจชุมชน ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คือการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และขาดความรู้ในการจัดการทางการเงิน เพื่อดำเนินธุรกิจ ดังนั้นทีมวิจัยจึงสร้างเครื่องมือประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ ในรูปของแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า LE Financing สำหรับใช้เป็นเครื่องมือประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจชุมชนได้ทั่วประเทศ โดยให้ผู้ประกอบการกรอกข้อมูลผ่านระบบและตอบคำถามที่มีการออกแบบไว้ ในขั้นตอนแรกจะเป็นการประเมินจากอาการของโรคการเงิน มีการประเมินสัดส่วนทางการเงินใน 4 ส่วนที่เกี่ยวข้อง 4 ด้าน ได้แก่ รายได้ กำไร สภาพคล่อง และภาระหนี้ของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยให้มองเห็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง กระตุ้นความต้องการแก้ไข จากนั้นนักวิจัยจะเข้าไปให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจชุมชนทำให้เห็นความสำคัญของการเริ่มจากส่วนที่ชุมชนสามารถแก้ไขได้ก่อนในลำดับแรกคือเรื่องของรายได้และสภาพคล่อง โดยให้มีการบันทึกแผนการเงินของธุรกิจผ่านแอพลิเคชั่น LE Financing จากการประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ ในระยะเวลาประมาณ 10 วัน พบว่าสภาพคล่องของภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นจำนวนของธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ขยับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47 มาอยู่ที่ร้อยละ 65 และจำนวนธุรกิจชุมชนที่ประสบปัญหาในระดับวิกฤตลดลงจากร้อยละ 39 มาอยู่ที่ร้อยละ17 และเมื่อมีการทำโครงการต่อเนื่องพบว่าสัดส่วนของธุรกิจที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นเพิ่มเป็นร้อยละ 89 ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดำเนินงานต่อเนื่องจนถึงวันที่ 45 พบว่าธุรกิจชุมชนที่อยู่ในระดับวิกฤติลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น นายบัณฑิต กล่าวว่า การวิจัยในครั้งนี้ยังค้นพบปัจจัยที่เป็นกุญแจสำคัญ (Key Success Factors) ในความสำเร็จของผู้ประกอบการในท้องถิ่น ใน 3 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ 1.การมีสุขภาพการเงินที่ดี คือมีสภาพคล่องสูงพอที่จะดำเนินธุรกิจได้ มีหนี้สินในการดำเนินงานไม่มากจนกระทบต่อเงินหมุนเวียน 2.มีความสามารถในการประกอบการอย่างต่อเนื่อง และ 3.มีความสามารถในการเลือกทำกำไรที่ดี โดยในการดำเนินการกิจการในชุมชนอาจมีสินค้าที่มีความหลากหลาย ชุมชนต้องสามารถเลือกจำหน่ายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด การวิจัยนี้เกิดผลสำเร็จที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดผ่านการวิจัยแบบมีส่วนร่วมระหว่างนักวิชาการ กับผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนในท้องถิ่น ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดและกระบวนการทำงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับ 20 มหาวิทยาลัย ที่ร่วมมือกับ บพท.ในการสร้างภูมิคุ้มกันและเสริมความเข้มแข็งแก่ธุรกิจชุมชน เพื่อก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ประกอบด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณมงคล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยฟาฏอนี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

"โค้ชเฮง" หวังกลุ่มอบรมโค้ชหลักสูตร AFC 'Pro' Diploma รุ่น1  ช่วยยกระดับฟุตบอลไทยไปอีกก้าว
อ่าน

"โค้ชเฮง" หวังกลุ่มอบรมโค้ชหลักสูตร AFC 'Pro' Diploma รุ่น1 ช่วยยกระดับฟุตบอลไทยไปอีกก้าว

โค้งเฮงวิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หวังว่ากลุ่มผู้ฝึกสอนที่ได้เข้ามาอบรมหลักสูตร AFC Pro Diploma Coaching Course จะช่วยกันนำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปช่วยกันยกระดับฟุตบอลไทยให้พัฒนาไปอีกก้าว การอบรมผู้ฝึกสอนหลักสูตรดังกล่าว เดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีโค้ชที่เช้าอบรมจนถึงวันนี้ทั้งหมด 18 คน โดยจะเสร็จสิ้นการอบรมทั้งหมดอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มกราคม 2561 นี้ สำหรับการอบรมโค้ชหลักสูตรนี้ ผมก็รู้สึกดีใจกับโค้ชทุกคนที่เข้ามาอบรม แล้วก็มันเป็นหลักสูตรขั้นสูงมาก ซึ่งนอกจากงานสนามแล้ว ยังเป็นงานเอกสาร ซึ่งเป็นจุดอ่อนของโค้ชฟุตบอลในบ้านเรา ในเรื่องการเตรียมรูปแบบการฝึก เตรียมทีมในแต่ละช่วง ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็มีพื้นฐานกันดีจาก คอร์ส ซี บี เอ ที่สำคัญคือ มันไม่ใช่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียว แต่มันยังทำให้เรารู้เรื่องการบริหาร การจัดการ และการฝึกซ้อมผู้เล่นให้เกิดคุณภาพ ตรงนี้ทุกคนก็จะได้รับข้อมูล ผมหวังว่าทุกคนจะช่วยยกระดับฟุตบอลไทยได้เป็นอย่างดี การมาคอร์สนี้ ผมผ่านมาหมดแล้ว ครั้งนี้ก็เหมือนการทบทวนสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยเรียนมาก่อน ผมก็พยายามช่วยให้คำปรึกษาคนที่มาเรียนทุกคน ทั้งเรื่องการออกแบบการฝึก และจุดสำคัญในการสอน ว่าจะสอนการฝึกลักษณะนี้ รูปแบบการฝึกแบบนี้ จะเน้นตรงจุดไหน ใครทำอะไร ที่ไหนอย่างไร ผมก็จะช่วยทุกคน หากโค้ชหลักสูตรนี้ได้รับใบอนุญาตโค้ชระดับ โปร ไลเซนส์ ทุกคนมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวบุคคล และสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้ ทั้งเรื่องคุณสมบัติตามที่ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ เอเอฟซี จะวางไว้ในอนาคต ในการเป็นผู้อำนวยการสโมสร หรือ ผู้อำนวยการของทีมอคาเดมี ที่จะต้องมีใบนี้ และยังทำให้โครงสร้างของฟุตบอล ในเรื่องของการโค้ช ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับโค้ชคนนั้น นอกจากนี้ที่สำคัญการมีใบอนุญาตโปร ไลเซนส์ จะทำให้โค้ชคนนั้นสามารถก้าวไปถึงการเป็นโค้ชทีมชาติไทย หรือ ชุดเยาวชน รวมถึง สตาฟฟ์ในตำแหน่งต่างๆ ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนในระดับนี้ การสอบแต่ละครั้ง ผมจะสังเกตคนที่เรียนทุกคนไปด้วย แต่ไม่ใช่การฝึกอย่างเดียว เพราะการเป็นโค้ชที่มีความสามารถ จะต้องดูที่ วิทยานิพนธ์ที่แต่ละคนส่ง ว่าดีพอหรือไม่ ซึ่งแต่ละคนยังมีปัญหาตรงนี้อยู่ ลำดับต่อมาคือการวิเคราะห์เกม การแก้ไขปัญหา และการออกแบบรูปแบบการฝึก ซึ่งตรงนี้ พวกเขายังต้องทำได้ดีขึ้นกว่านี้ การอบรมแบบนี้ จะต้องมีการอัพเดตข้อมูลตลอดเวลา ด้วยการเข้าอบรมคอร์ส รีเฟรชเชอร์ เหมือนกับประเทศสากล ในทุกๆปี ซึ่งเรามองข้ามความสำคัญไป ซึ่งฝ่ายเทคนิคต้องรับผิดชอบตรงนี้ เราต้องทำตามแผนของสากลทั่วไป ในทุกระดับ ไล่ตั้งแต่ ซี บี เอ และ โปร สำหรับรายชื่อผู้เข้าอบรมผู้ฝึกสอน หลักสูตร AFC Pro Diploma Coaching Course ตั้งแต่ Module 1 จนถึง Module 4 ในปัจจุบันมีทั้งหมด 19 คน ดังมีรายชื่อต่อไปนี้ 1. นางสาวหนึ่งฤทัย สระทองเวียน 2. นายจตุพร ประมลบาล 3. นายจเด็จ มีลาภ 4. นายอรุณ ตุลย์วัฒนางกูร 5. นายวรวุธ ศรีมะฆะ 6. นายธชตวัน ศรีปาน 7. นายเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง 8. นาย เศกสรร ศิริพงษ์ 9. นายธงชัย รุ่งเรืองเลิศ 10. MR. MATTHEW HOLLAND 11. นายทรงยศ กลิ่นศรีสุข 12. นายวิทยา เลาหกุล 13. นายประสบโชค โชคเหมาะ 14. นายนพพร เอกสาตรา 15. นายจักรพันธ์ ปั่นปี 16. MR.SANISA COHADZIC 17. MR.ALEXANDRE POLKING 18.นายธีระเวคิน สีหะวงศ์ 19.นายสุภชาติ มานะกิจ ดูบอลสดออนไลน์ผ่านเว็บที่นี่ และติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

คลังชงครม.อนุมัติกฎหมาย Finance Hub ต้นเดือนก.พ.นี้
อ่าน

คลังชงครม.อนุมัติกฎหมาย Finance Hub ต้นเดือนก.พ.นี้

คลังชงครม.อนุมัติกฎหมาย Finance Hub ต้นเดือนก.พ.นี้ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค เปิดกว้าง 8 ธุรกิจการเงิน พร้อมตั้งซุปเปอร์บอร์ดOSA คุมการออกใบอนุญาตถึงการเพิกถอน ชี้จะเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิประโยชน์ อำนาจเบ็ดเสร็จมากกว่ากฎหมาย EEC โดยการกำกับจะยกเว้นกฎหมายการเงินรวม 7 ฉบับ #ทันหุ้น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจทางการเงิน(Finance Hub) เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในต้นเดือนก.พ.นี้ เมื่อครม.เห็นชอบจะเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรต่อไป รัฐบาลตั้งใจจะผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ หลังผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว ให้สภาเห็นชอบในวาระที่ 1 ภายในปลายเดือนมี.ค.นี้ โดยจะเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิประโยชน์และอำนาจเบ็ดเสร็จมากกว่ากฎหมาย EEC สาเหตุที่เราต้องเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะต้องการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงิน เพื่อพัฒนาไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งนี้ เราเห็นโอกาสที่จะดึงนักลงทุนเข้าประเทศจากข้อจำกัดการลงทุนในศูนย์กลางการเงินในฮ่องกงสิงคโปร์ ดูไบ จึงร่างกฎหมายให้เอื้อต่อการดึงเม็ดเงินลงทุน Financial Hub ในแห่งอื่นๆของโลก ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือดูใบ มีข้อจำกัดบางเรื่องของการเป็น Financial Hub เราจึงได้พยายามกำจัดเงื่อนไขดังกล่าวออกไป ซึ่งข้อได้เปรียบที่สำคัญของไทยในการเป็น Financial Hub ก็คือ เรามีโครงสร้าง Financial Land Scape ที่แข็งแรง และครอบคลุมตั้งแต่คนที่รวยที่สุด ถึงคนที่จนที่สุด และเรายังมีระบบการค้ำประกันสินเชื่อ รวมถึงจะยกระดับให้เป็นNAGA และเรายังมีค่าแรงที่ต่ำ เขากล่าวว่า ในตัวร่างกฎหมายจะมีจำนวน 96 มาตรา มีสาระสำคัญ เช่น จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดจำนวน 8 คน เรียกว่า ซุปเปอร์บอร์ด ประกอบด้วย รมว.คลัง ทำหน้าที่เป็นประธาน มีกรรมการจากปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าธปท.เลขาก.ล.ต. เลขาคปภ. เลขากฤษฎีกาและเลขาบีโอไอ คณะกรรมการจะมีอำนาจตั้งแต่การออกใบอนุญาต การเพิกถอนใบอนุญาต การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และที่ไม่ใช่ภาษีแต่ธุรกิจที่เข้ามาลงทุนตั้ง Financial Hub ในประเทศไทย โดยจะมีการยกเว้นการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเงินและประกันภัยรวม 7 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงิน,กฎหมายที่เกี่ยวกับระบบการชำระเงิน,กฎหมายหลักทรัพย์ และกฎหมายการซื้อขายล่วงหน้าเป็นต้น โดยเราได้คุยกับหน่วยงานกำกับอื่นเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน จะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA ) ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (End to end) เขากล่าวว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่ว่าจะเป็น ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และที่ไม่ใช่ภาษี ที่คณะกรรมการ OSA จะให้นั้น จะอยู่ในกฎหมายลำดับรอง ซึ่งเชื่อว่าจะน่าดึงดูดนักลงทุนมากกว่า Financial Hub แห่งอื่นๆในโลก ทั้งนี้ Non Tax ที่จะให้เช่น การให้สิทธิพิเศษในเรื่อง VISA และ Immigration ต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงระเบียบต่างๆเพื่อให้เกิด ease of doing business นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า Financial Hub ของไทย ยังสามารถเชื่อมโยงกับในภูมิภาค CLMV ซึ่งทางศูนย์กลางการเงินของ ฮ่องกง ก็ต้องการเข้ามาเชื่อมกับFinancial Hub ของไทย เพื่อฮ่องกงสามารถเข้าสู่ตลาด CLMV ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันไทยก็สามารถเข้าสู่ตลาดในฮ่องกงได้ง่ายขึ้นเช่นกัน เขากล่าวว่า ภายใต้กฎหมาย Financial Hub นี้ จะเปิดให้ธุรกิจของคนไทย เช่น สถาบันการเงินต่างๆในประเทศไทย สามารถขอใบอนุญาต ภายใต้กฎหมายนี้ได้เท่าเทียมกับคนต่างชาติ แต่ภายใต้เงื่อนไขเช่นเดียวกันคือการให้บริการแก่ Non Resident ยกเว้นบางธุรกรรมที่สามารถให้บริการแก่คนในประเทศได้เช่น สามารถทำ Re Insurance ให้แก่บริษัทประกันในประเทศไทยได้ หรือ การให้บริการแก่บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ 1) ธุรกิจเป้าหมาย Financial Hub ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจธนาคารพาณิชย์2) ธุรกิจบริการการชำระเงิน 3) ธุรกิจหลักทรัพย์ 4) ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6) ธุรกิจประกันภัย 7) ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ และ 8) ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่ คกก. ประกาศกำหนด ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในไทยโดยตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น ทั้งนี้ จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้ 1.ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้ 2. ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้ 3. ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้ 4. ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้ 5. ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงินโดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่วนสิทธิประโยชน์ ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษีตามที่ คกก. กำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจและอยู่อาศัย เป็นต้น

Official Thai Army Statement to Military Attaché, Diplomats, Thai and Foreign Media.
อ่าน

Official Thai Army Statement to Military Attaché, Diplomats, Thai and Foreign Media.

1. Sequence of Events Facts1.1 Sequence of EventsSince the beginning of 2025, the Cambodian side has conducted provocative actions to create tensions through military and civilian activities, with the following key sequence of events:February 13, 2025: Bringing tourists to sing patriotic songs in the Ta Muen Thom temple areaFebruary 28, 2025: Burning of the Trimukh Pavilion, which is a symbolic structure representing international cooperation between Thailand, Cambodia, and LaosMarch to April 2025: Cambodian soldiers modified the terrain along the border area for military purposes such as strengthening fortifications, improving routes, and expand additional trench lines into Thai territoryApril to May 2025: The Cambodian side moved additional personnel and military equipment closer to the Thai-Cambodian border, significantly increasing their presence as evidenced by satellite imagery analysis by foreign researchers. Subsequently, the Cambodian side intruded into Thai territory by digging trenchesMay 28: Cambodia began open fire in skirmish between both units, with the Thai side responding in self-defense in the Chong Bok area. The Thai military and government attempted to resolve the problem through bilateral means, which was unsuccessfulJuly 2025: Cambodian soldiers intruded and secretly planted anti-personnel mines in multiple areas within Thai territory, causing Thai soldiers on patrol to be injured and lose legs from PMN-2 anti-personnel mines on two occasions. This constituted a serious and deliberate violation of humanitarian principles by the Cambodian side, as well as an intentional violation of the Ottawa Convention that both Thailand and Cambodia have ratified. Additionally, before the incidents, there was the demining operation by Thai troops and safely cleared the area.Meanwhile, the Cambodian side attempted provocative displays by sending Cambodian soldiers both in uniform and out of uniform posing as civilians, as well as organizing crowds of Cambodians from Phnom Penh and nearby areas to enter the Ta Kwai temple, Ta Muen temple, and other areas along the border to create content and engage in provocative behavior toward Thai tourists, Thai civilians, and Thai soldiers in the area, leading to confrontations with risks of clashes between Thai and Cambodian people in various temple areas. 1.2 Border Control Measures and Cambodia's Opening FireAfter Thai soldiers stepped on PMN-2 anti-personnel mines for the second time, the situation showed signs of escalating. This could endanger innocent civilians from such anti-personnel mines. The Thai side therefore implemented border control measures in all temple areas along the border by installing barbed wire fencing.July 24, 2025: Cambodian soldiers began firing at Thai soldiers stationed at Ta Muen Thom temple first, using small arms, guns, and mortar grenade launchers, leading to clashes. Subsequently, the Cambodian side escalated to using combat forces and supporting weapons, artillery, and BM-21 multiple rocket launchers to attack the Thai side along the entire border, deliberately targeting civilian objectives located nearly 10 to 30 kilometers from the border as follows:Phanom Dong Rak Hospital, Surin ProvincePTT gas station at Ban Phue, Kantharalak District, Sisaket Province7-Eleven convenience store at Ban Phue, Kantharalak District, Sisaket ProvinceSchools in Surin and Sisaket provincesCivilian homes such as Ban Kruad village, Ban Kud Chiang in Surin, Buriram, Sisaket, and Ubon Ratchathani provincesThis resulted in 15 civilian injuries and 36 deaths, with one of the deceased being only 8-year-old child, and more than 150,000 people requiring evacuation.1.3 Thailand's Response Under the Framework of International LawFrom the aforementioned events, the Thai side has conducted retaliatory actions under the principle of the Right of Self-Defense as stipulated in international law, particularly Article 51 of the UN Charter, which states that "Nothing in the present Charter shall impair the inherent right of individual or collective self-defence if an armed attack occurs against a Member of the United Nations."Thailand's response is therefore a lawful action conducted under the principles of Necessity and Proportionality, with the sole objectives of deterring threats, reducing civilian casualties, and maintaining national sovereignty stability. Thailand has no intention to invade or take any actions beyond the scope of self-defense against threats from the Cambodian side.Thailand has targeted only military objectives, while the Cambodian side has used indiscriminate targeting, resulting in civilian casualties on the Thai territory.Furthermore, positioned supporting weapons in civilian community areas, essentially using human shields, which Thailand refrained from targeting in response.This constitutes a deliberate and serious violation of international humanitarian law and human rights principles that is unforgivable, and no civilized nation in the world would accept such inhumane actions. 2. Current Situation - Cambodia Continues Military Operations2.1 After ceasefire agreement negotiations in Malaysia on July 28, 2025, after midnight, the Cambodian side violated the ceasefire agreement in the following areas:(1) Chong Bok Area, Ubon Ratchathani Province(2) Sam Tae Area, Si Sa Ket Province(3) Pha Mor E Daeng, Si Sa Ket Province(4) Phu Ma Khua/Khanmar Area, Si Sa Ket Province(5) Phlan Yao Area, Si Sa Ket Province(6) Ta Kwai Temple, Surin ProvinceThe Cambodian side continued to violate the ceasefire agreement until July 30, 2025 at 0510 hours. Details as shown2.2 On July 31, 2025, Cambodian soldiers were detected reinforcing their forces in areas along the entire Thai border, and the use of drones conducting surveillance at inner area of Thai territory in significant number3. Cambodian DisinformationCambodia alleges that:3.1 Thailand invaded Cambodia and violated UN principles, sovereignty, and territorial integrity?Facts: Thailand is a UN member state that strictly respects the UN Charter, including the principle of non-use of force in resolving international disputes (Article 2(4) UN Charter).Thailand's actions constitute necessary and proportionate self-defense (necessity proportionality) under the rights specified in Article 51 of the Charter, after the Cambodian side used weapons to attack Thai military posts, administrative areas, and Thai communities in multiple locations.There is clear evidence that Cambodian forces moved into Thai territory on multiple occasions and used weapons to attack Thai targets, particularly civilian targets, such as attacking Phanom Dong Rak Hospital, which is nearly 10 km from the border, and Ban Phue gas station, which is 30 km from the border.3.2 Use of Chemical Explosives?Facts: This is a serious and completely baseless allegation. Thailand is a party to the Chemical Weapons Convention (CWC) and strictly complies with its provisions. No unit in the Thai military uses chemical weapons, whether tactically or strategically. Such allegations constitute war propaganda and are an attempt to distort facts for defamation purposes.- The case of the "chemical explosives" images disseminated by the Cambodian government are actually footage from wildfire suppression missions in California, United States in 2022, which can be viewed through online media.3.3 Thailand uses F-16 aircraft and large quantities of heavy weapons?Facts: All weapons used in the response were appropriate and proportionate, aimed at deterring Cambodian incursions and targeting military objectives along the border area. This was not an offensive attack.It is the Cambodian side that deployed forces and fired weapons from civilian areas, using communities as "human shields," which constitutes a serious violation of International Humanitarian Laws.3.4 Thailand used MK-84 bombs that fell on Cambodian civilian homes?The statement by Mr. Heng Ratana, head of Cambodia's CMAC, alleging that Thailand recently dropped MK-84 bombs in Cambodia, clearly bears the characteristics of disinformation by citing old images and creating false connections.The Thai side completely rejects Cambodia's allegations. The images of explosive ordnance that Cambodia claims to be MK-84 are actually old explosives from the Vietnam War era. This allegation is not consistent with scientific prove as show in the picture.Thailand hereby condemns and calls on Cambodia to stop making false allegations aimed at inciting hatred, and requests that Cambodia cooperate with Thailand and the international community in peacefully resolving the border situation through straightforward negotiations and cooperation.Most recently, on July 30, 2025, the Cambodian side invited the foreign military attachésstationed in Cambodia to inspect the combat area 30 km from the border. However, the Cambodian side changed plans to take the delegation to the Chong An Ma area, which is a combat zone that still poses safety risks.

RABBIT ขาย “Diplomat PropCo”มูลค่า 2.69 พันลบ.คาดเสร็จ Q1/69
อ่าน

RABBIT ขาย “Diplomat PropCo”มูลค่า 2.69 พันลบ.คาดเสร็จ Q1/69

#RABBIT #ทันหุ้น-บริษัทแรบบิทโฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ RABBIT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2568 ซึ่งได้จัดขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2568 ได้มีมติยกเลิกการเข้าทำธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นสามัญในบริษัท Diplomat Prague RE s.r.o. (“Diplomat PropCo”) (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน Lombard Real Estate GmbH (“LRE”) ในสัดส่วน 100% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าที่ตราไว้รวม 200,000 โครูนาเช็ก และภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ Diplomat PropCoมีอยู่ทั้งหมดให้แก่ Hotel Diplomat s.r.o. และ/หรือนิติบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ซื้อ (ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทฯตามประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน) (รวมเรียกว่า “ผู้ซื้อ”) ในราคาขายรวมจำนวน 67.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,530,082,250 บาททั้งนี้ เนื่องจากธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของบริษัทย่อยในยุโรปดังกล่าวข้างต้นไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสุดท้ายกับผู้ซื้อได้ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้จำหน่ายหุ้นสามัญในบริษัท Diplomat PropCo และภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ Diplomat PropCo มีอยู่ทั้งหมดให้แก่ PPF Real Estate s.r.o. และ/หรือนิติบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ซื้อ (ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทฯ ตามประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน)(รวมเรียกว่า “ผู้ซื้อ”) ในราคาขายรวมจำนวน 73.0 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,691,064,700 บาททั้งนี้ Diplomat PropCo มีทรัพย์สินที่สำคัญ ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในโรงแรม Vienna House ® by WyndhamDiplomat Prague โดยมีห้องพักจำนวน 400 ห้อง ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐเช็ก (“ธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของ Diplomat”) ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเข้าลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้น (Framework Agreement on the Terms and Conditions of the Transfer of Share) ภายในวันที่ 19 กันยายน 2568 และคาดว่าธุรกรรมการจำหน่ายหุ้นของ Diplomat จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/69

ทำความรู้จัก “Tuktuk finance”
อ่าน

ทำความรู้จัก “Tuktuk finance”

ปัจจุบันการลงในภาวะเศรษฐกิจท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19นับว่าเสี่ยงเป็นอย่างมาก ยิ่งมีข่าวของการยักยอกเงินของแพลตฟอร์ม Defi100 ทำให้มีผู้เสียหายกว่าหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งการทำงานของระบบดังกล่าวเป็นการ Farming โดยอาศัยเหรียญจากเว็บเทรดชื่อดัง Binance ในการเสียค่าธรรมเนียม วันนี้ trueID มีข่าวเกี่ยวกับ "Tuktuk finance" ซึ่งมีหลักการเดียวกับ Defi100 แต่เป็นแพลตฟอร์มของไทยมาให้รับทราบกัน "Tuktuk fiance" คืออะไร? แพลตฟอร์ม Defi ตัวแรกที่เปิดตัวบนเครือข่ายของ Bitkubchain เป็นเว็บเทรดคริปโตแบบ Decentralised และแพลตฟอร์ม defi yield farming เป็นแพลตฟอร์ม Defi ที่ลักษณะนี้มีการเปิดตัว ซึ่งนักลงทุนก็มักที่จะรอดูกันผลตอบแทนจากการทำฟาร์มหรือที่เรียกว่า APR (ผลตอบแทนประจำปี) จะเปิดมาสูงมากแค่ไหนประกอบการตัดสินใจในการลงทุน มีการเปิดตัวบน Bitkubchain ใครจะทำธุรกรรมอะไรบนแพลตฟอร์มนี้ต้องใช้เหรียญ kub เป็นตัวกลางในการจ่ายค่า Gas Fee (ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม) ซึ่งในจุด ๆ นี้เองที่ทำให้หลายคนมองกรณีการใช้งานจริงบน kubchain ครั้งแรกได้เกิดขึ้นแล้ว และหลายคนก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาลองใช้ chain ของคนไทยในการทำฟาร์ม การเปิดตัวแพลตฟอร์ม Defi ตัวแรกบน kubchain ในครั้งนี้ ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่ามันอาจมีหลายโปรเจกต์เริ่มแห่เปิดตัวบน Kubchain กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ระบบนิเวศของ Kubchain โตขึ้นและผลักดันราคาให้กับเหรียญ Kubcoin ข้อมูล : siamblockchain , bitkub -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก

น้ำเข็งใส ข้าวไข่เจียว by Nancy
อ่าน

น้ำเข็งใส ข้าวไข่เจียว by Nancy

วันนี้กินอะไรดีนะ ? คำถามนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ กับใครหลาย ๆ คน ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น บางทีก็หิวนะ แต่คิดเมนูไม่ออกซะงั้น วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาส มาประชุมที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช จังหัดสงขลา ตกเที่ยงก็เช่นเคยครับ ไม่รู้จะทานอะไรดี เลยนั่งเลื่อนฟีดหน้าเฟสบุ๊คไปเรื่อย ๆ ก็สะดุดตากับรูปข้าวไข่เจียวทรงเครื่องซึ่งดูน่าตาน่าทานมาก และที่สำคัญดูจากในรูป ณ ขณะนั้น เครื่องที่ใส่ลงไปแน่นมาก ๆ จึงกดเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นร้านของรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อเข้าไปดูข้อมูลก็พบว่าร้านนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา และที่สำคัญห่างจากที่ผู้เขียนประชุมเพียงแค่ 3 กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความเหนื่อยล้าจากการประชุมประกอบกับความหิวจัด จึงรีบสตาร์ทรถแล้วมุ่งหน้าไปยังร้าน น้ำแข็งใส ข้าวไข่เจียว by Nancy ตาม Google Map ที่ทางร้านได้แนบไว้ในเพจ เมื่อไปถึงยังที่ร้าน ได้พบกับรุ่นพี่คนดังกล่าว คือ พี่แนน และได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามภาษารุ่นพี่รุ่นน้อง พี่แนนได้เล่าว่าเพิ่งเปิดร้านเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมานี้เอง ที่ร้านมี 2 เมนูหลัก ๆ คือ ข้าวไข่เจียวทรงเครื่อง และน้ำแข็งใส ผู้เขียนจึงได้สั่งข้าวไข่เจียวทรงเครื่องใส่ทุกอย่าง พร้อมบอกไปว่า “ขอพิเศษนะ” เนื่องจากหิวมาก บรรยากาศ​ร้านตกแต่งง่าย ๆ มีประมาณ​ 5-6 โต๊ะ ด้านข้างมีตู้ขนาดใหญ่​เป็นที่เก็บเหรียญ​รางวัล เนื่องจากพี่แนนและพี่ชายเป็นนักกีฬา​ว่ายน้ำทั้งสอง จึงมีเหรียญ​รางวัลจากการแข่งขันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ทางร้านยังเปิดหนังจาก Netflix​ ให้ได้ดูกันทั้งวันอีกด้วย เมนูข้าวไข่เจียวทรงเครื่องที่ร้านนี้ใส่เครื่อง 6 อย่าง มีทั้งปูอัด ไก่สับ ข้าวโพด ใบโหระพาแครอทหั่นเต๋า และหอม ถือได้ว่าเครื่องแน่นอย่างในรูปที่ผู้เขียนเห็นตอนแรกเลย พี่แนนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็นำข้าวไข่เจียวร้อน ๆ มาเสิร์ฟด้วยตนเองถึงโต๊ะ พร้อมกับช่วยราดซอสพริกและซอสมาเขือเทศให้ น่าตาน่ารับประทานมาก ๆ ผู้เขียนไม่รีรอรีบหยิบช้อนและซ้อมขึ้นมาเพื่อทานข้าวไข่เจียวทรงเครื่องตรงหน้าทันที ข้าวไข่เจียวทรงเครื่องที่นี่อร่อยมาก ไม่อมน้ำมันเลย ที่สำคัญตักไปตรงไหนเครื่องที่ใส่มาให้ก็แน่นทุกส่วน เข้ากันได้อย่างลงตัวมากกับซอสและพริกน้ำปลาที่ทางร้านได้เตรียมไว้ กินคาว ไม่กินหวาน….. คงไม่ได้ เลยสั่งน้ำแข็งไสเพิ่มแบบหวานน้อย พี่แนนก็จัดให้พร้อมกับเครื่องแน่นอีกเช่นเคย มีทั้งลูกตาล แมงลัก พุทราเชื่อม มันเชื่อม ลูกเดือย เฉาก๊วย และอื่น ๆ ถือเป็นเมนูดับกระหาย ทำให้สดชื่น จากอากาศที่ร้อนระอุในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี ค่าเสียหายเพียง 50 บาทเท่านั้น ข้าวไข่เจียว (พิเศษ) 30 บาท ปกติ 25 บาท น้ำแข็งไส 20 บาท พิกัดร้าน : ตั้งอยู่หน้าปากซอย สระเกษ ซอย 10 ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ร้านเปิด 11:00 น. – 20.00 น. ลองแวะเวียนไปทานกันดูนะครับ อิ่ม อร่อย ในราคาย่อมเยา ภาพหน้าปกจากเพจ : น้ำแข็งไส ข้าวไข่เจียว by Nancy​ ภาพประกอบอื่น ๆ โดยผู้เขียน

อัพเดท COM7 มีอะไรใหม่?
อ่าน

อัพเดท COM7 มีอะไรใหม่?

#ทันหุ้น - บล.เคจีไอ ส่องหุ้น บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 คาดว่าน่าจะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ Easy E-receipt ด้านยอดขาย อัตรากำไรมีความเสี่ยงจากประเด็นการลงแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต และกำไรกลับมาโตในระดับปกติ ฝ่ายวิจัยจึง de-rate PER ลงจากเดิม 22.0X เหลือ 18.0X และปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจากเดิม 31.00 บาท เหลือ 23.00 บาท โดยยังคงคำแนะนำ ถือ COM7 ฝ่ายวิจัยประมาณการ Q4/67 คาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 802 ล้านบาท (+20% YoY, +13% QoQ) เนื่องจาก ยอดขายดีในช่วง high season ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท (+8% YoY) ฝ่ายวิจัยคาดว่ายอดขายใน Q4/67 จะอยู่ที่ 2.14 หมื่นล้านบาท (+7% YoY, +19% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายปี 2567 อยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท (+11% YoY) จากปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกประเมินว่ายอดจดัส่ง smartphone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 3% YoY ใน Q4/67 (นำโดย Apple) ซึ่งจะทำให้ยอดจัดส่ง smartphone ทั่วโลกในปี 2567 เพิ่มขึ้น 7% YoY ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน Q4/67 จะอยู่ที่ 12.6% (+1ppts YoY, - 0.7ppts QoQ) เนื่องจากยอดขาย iPhone มีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อเทียบกบัยอดขายรวม น่าจะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ Easy e-receipt โดยมีความเสี่ยงจากการที่ smartphone ของ OPPO และ Realme ลงแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่ายวิจัยยังคงมองว่า COM7 จะได้อานิสงส์จำกัดจากมาตรการ easy E-receipt เพราะวงเงินการใช้จ่ายตาม โครงการลดลง (จาก 50,000 บาทใน Q1/67 เหลือ 30,000 บาทใน Q1/68) นอกจากนี้ ยังมองว่ามีความเสี่ยงจากกรณีการติดต้้งแอพฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต (Fineasy และ Happy Loan) ในเครื่อง smartphone แบรนด์ OPPO และ Realme ซึ่งสื่อในประเทศรายงานว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้สั่งห้ามขายเครื่องรุ่นใหม่ที่มีการลงแอพฯ เหล่านี้ไว้ และประสานงานกับทั้งสองบริษัทให้ถอนแอพฯ นี้ออกไปจากเครื่อง ซึ่งคาดว่าประเด็นนี้น่าจะไม่เพียงแต่จะกระทบยอดขายของ COM7 เท่าน้้น (ยอดขายแบรนด์ OPPO และ Realme ของ COM7 เทียบกับยอดขาย รวมเป็นเลขหลักเดียว) แต่การหยุดจำหน่ายยังจะกระทบกับสินค้าคงคลัง ซึ่งอาจจะทำให้ต้องตั้งสำรอง สำหรับสินค้าตกรุ่น และจัดโปรโมชั่น เพื่อฟื้นยอดขาย หั่นการกำไร และ de-rate PER ลง ฝ่ายวิจัย ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 10% เพื่อสะท้อนถึง i) ประมาณการยอดขายลดลง 5% จาก ผลกระทบกรณีของ OPPO และ Realme และ ii) การปรับลดอตัรากำไรขั้นต้นลง 40bps เพื่อสะท้อนถึง ผลกระทบจากการจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ COM7 จะทรงตัวในปีนี้และจะเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2569 โดยคาดว่ากำไรอาจจะโตได้ในช่วงเลขหลักเดียว หรือ สองหลักต่ำๆ จากฐานที่สูงของเครือข่ายร้านค้า (ผลกระทบต่ำจากการขยายสาขาร้าน) และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากผู้เล่นรายใหม่ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึง de-rate PER ลงจากเดิม 22.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต -0.5 S.D.) เหลือ18.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต -1.0 S.D.) เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่กลับมาโตในระดับปกติ หั่นเป้าสิ้นปี 68 เหลือ 23 บ. แนะถือ พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ลงจากเดิม 31.00 บาท เหลือ 23.00 บาท อิงจาก PER ที่ 18.0X และคงคำแนะนำ ถือ Risks อุปสงค์ smartphones ต่ำเกินคาด, รายได้จากการขายอุปกรณ์เสริมต่ำกว่าที่คาด, และมีการจัดรายการ ส่งเสริมการขายมากกว่าที่คาดไว้

สแกนกลุ่ม Finance ช้อปหุ้นอะไรดี?
อ่าน

สแกนกลุ่ม Finance ช้อปหุ้นอะไรดี?

#ทันหุ้น - บล.ดาโอ ส่องหุ้น กลุ่ม Finance คงน้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด จากทิศทางและปัจจัยลบต่างๆ ที่เริ่มดีขึ้นในปี 2567 ดังนี้ 1) อัตราดอกเบี้ยโลกและไทยใกล้สิ้นสุดขาขึ้นและมีโอกาสปรับลงใน 2H67E ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของกลุ่มมีทิศทางดีขึ้น โดย DAOL คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะเริ่มปรับลดลงจาก 2.5% ใน 2H67E ที่ -75 bps ทั้งนี้ราคาหุ้นกลุ่ม Finance มี negative correlation กับอัตราดอกเบี้ยในช่วง ธ.ค.18 - ก.พ.63 ที่อัตราดอกเบี้ยลดลงที่สูง โดยราคาหุ้น MTC และ SAWAD ปรับขึ้น +14%/+46% คิดเป็น correlation ที่ -81%/-90%, 2) NPL คาดผ่านจุดสูงสุดใน Q3/66 จากความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่ Q4/65, NPL formation ที่ปรับลง และการตัดจำหน่ายหนี้สูญที่สูงในปี 2566, 3) ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวตั้งแต่ Q3/66 ส่งผลให้มี 2566E-68E net profit CAGR ที่ +16% และทำให้ 2567E-68E ROAE กลับมาดีขึ้น และ 4) ได้รับผลกระทบจำกัดจากมาตรการควบคุมสินเชื่อทั้งระบบของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศออกมา ราคาหุ้นในกลุ่ม Finance (Auto-backed) ที่ฝ่ายวิจัยออกบทวิเคราะห์ปรับตัวลงเฉลี่ย -11% ในช่วง 6 เดือน และกลับมาดีขึ้นเฉลี่ย +1% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนปัจจัยลบและผลการดำเนินงานที่ลดลงแล้ว ทำให้ valuation กลับมาน่าสนใจ โดยปัจจุบันเทรดที่ 2567E PBV เฉลี่ยที่2.1x (-1.25 SD below 5-yr average PBV) โดยหุ้นกลุ่ม Finance ฝ่ายวิจัยชอบหุ้น auto-backed มากกว่า credit card และ AMC จาก NPL formation ที่ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับ credit card ที่เพิ่มขึ้น และเข้าสู่ช่วง low season ของการตามหนี้ธุรกิจ AMC ใน Q1/67E สำหรับหุ้น Top pick คือ TIDLOR จาก 1) NPL ทรงตัวในระดับต่ำเทียบกับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น, 2) NPL coverage สูงถึง 268%, 3) D/E ต่ำเพียง 2.5x และ 4) credit rating ที่ A ทำให้การระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่ได้ต้นทุนต่ำ ในขณะที่ SAWAD มีปัจจัยลบเรื่องขาดทุนรถยึดที่จะสูงกดดันอยู่

เช็ค 4 หุ้น Finance ลงทุนอย่างไรต่อ?
อ่าน

เช็ค 4 หุ้น Finance ลงทุนอย่างไรต่อ?

บล.บัวหลวง ระบุหลังจากที่ปรับเพิ่มน้ำหนัก กลุ่มการเงินบุคคล (Retail Finance) ขึ้นเป็น Overweight ราคาหุ้นในกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นไปเฉลี่ยกว่า 13% และ Outperform SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จนหลายบริษัทถึงราคาเป้าหมายของฝ่ายวิจัยแล้ว ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดน้ำหนักการลงทุนกลับมาเหลือ Neutral หรือ เท่ากับตลาด เพราะยังไม่เห็นประเด็นขับเคลื่อนราคาหุ้นเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้ว ประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิ Q2/66 ของกลุ่มฯ คาดยังไม่น่าตื่นเต้น โดยกำไรสุทธิจะทรงตัว YoY และเพิ่มขึ้นเพียง 5% QoQ แม้แนวโน้มสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง แต่จะถูกหักล้างด้วยแนวโน้มต้นทุน Credit cost ที่สูงขึ้น โดยคาดว่า SAWAD จะเป็นผู้นำกำไรเติบโต (+19% YoY, +3% QoQ) ขณะที่ KTC และ TIDLOR คาดทรงตัว YoY ส่วน MTC กำไรจะลดลง 14% YoY (ยังจะเห็นการตั้งสำรองฯ สูง) ด้านปัจจัยพื้นฐาน แนะนำซื้อ KTC (ราคาเป้าหมาย 60 บาท) จากคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง และ Valuations ยังน่าสนใจ (PER ต่ำค่าเฉลี่ยระยะ 5 ปีอยู่ 1SD) ส่วน SAWAD TIDLOR (ปรับลดจากซื้อ) และ MTC ให้แนะนำลงมาเป็นถือ

BAY รับโอนส่วนทุน 50% แรกใน SHB Finance เวียดนาม
อ่าน

BAY รับโอนส่วนทุน 50% แรกใน SHB Finance เวียดนาม

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY แจ้งว่าในการเข้าซื้อกิจการในประเทศเวียดนาม BAY ได้รับโอนส่วนของทุนในบริษัท SHBank Finance Company Limited (SHB Finance) หนึ่งในธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคชั้นนำของประเทศเวียดนาม ในสัดส่วน 50% แรก และจะรับโอนส่วนที่เหลืออีก 50% ภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากนี้ เมื่อทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขและตามข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารได้บรรลุข้อตกลงเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับกรุงศรีในฐานะ ธนาคารแห่งภูมิภาค เสริมเครือข่ายในอาเซียน สอดคล้องกับเป้าหมายสู่การเป็น สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จครั้งนี้ และขอต้อนรับ SHB Finance สมาชิกใหม่เข้าสู่กลุ่มกรุงศรี นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้การสนับสนุนและอนุมัติธุรกรรมนี้ให้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้กรุงศรีผงาดในอาเซียนได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้เรามีธุรกิจครอบคลุมถึง 5 ประเทศในอาเซียน และเดินหน้าขับเคลื่อนสู่พันธกิจในการเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน เราคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามจะเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ราว 6-7% ต่อปี ด้วยโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายจากอัตราการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น กรุงศรีซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของกรุงศรีในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้กับ SHB Finance ในการส่งมอบบริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า พร้อมกับโซลูชันทางการเงินที่สามารถเข้าถึงได้และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายย่อยในเวียดนาม กรุงศรีมั่นใจว่าการผสานความร่วมมือระหว่างกรุงศรีและ SHB Finance จะเสริมสร้างแบรนด์ ผลการดำเนินงาน และจุดยืนที่แข็งแกร่งให้ SHB Finance เป็นผู้เล่นที่สำคัญในระดับต้นๆ ในตลาดสินเชื่อเพื่อรายย่อยในประเทศเวียดนาม Permanent Deputy Director of SHB Finance, Ms. Olena Khlon กล่าวว่า ตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยมีการบริหารจัดการที่ดีจากทางภาครัฐ และเวียดนามยังเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นการได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกรุงศรี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในระดับภูมิภาคจะทำให้ SHB Finance สามารถบรรลุเป้าหมายในการเป็นหนึ่งในบริษัทด้านการเงิน ชั้นนำของประเทศไทยได้รวดเร็วขึ้นและยังเป็นเพื่อนที่พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยให้ชีวิตของลูกค้าทุกกลุ่มดีขึ้นอีกด้วย กรุงศรีซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ทั้งในเรื่องของสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก ปัจจุบันมีธุรกิจทั้งในประเทศ ธุรกิจต่างประเทศ ทั้งใน สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนามเป็นประเทศล่าสุด รวมทั้งมีสำนักงานตัวแทนในเมียนมาอีกด้วย